รายการโหนกระแสวันนี้ พูดคุยกรณี จ่าสิบเอก จิรวัฒน์ หรือ จ่าจ๊อด อายุ 41 ปี อดีตนายทหารนอกราชการ สังกัดกรมพระธรรมนูญ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรม กับ ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม หลังถูกพ่อตา แม่ยาย น้องเมีย จับมัดมือมัดเท้า ทำร้ายร่างกาย นำขึ้นรถจากบ้านที่กำแพงเพชร มาส่งบ้านญาติที่อำเภอบางใหญ่ นนทบุรี จากนั้นได้ไปแจ้งความ แต่ผ่านมา 1 ปี คดีไม่คืบ
จ่าจ๊อด เล่าว่า ตนอยู่กินกับอดีตภรรยามานานกว่า 5 ปี มีบ้านที่ กทม. แล้วบางทีก็ไปอยู่บ้านของพ่อตา ที่กำแพงเพชรบ้าง ช่วงโควิด ช่วยกันเก็บเงินสร้างบ้านกับภรรยา ที่อำเภอขาณุวรลักษณ์ จังหวัดกำแพงเพชร มีลูกชาย 1 คน อายุ 4 ขวบ ภรรยาเป็นพยาบาล ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแห่งหนึ่ง ในจังหวัดกำแพงเพชร ส่วนพ่อตาทำงานอยู่ใน อบต. แห่งหนึ่ง และเป็นหัวคะแนนให้กับนักการเมืองท้องถิ่นชื่อดังในจังหวัด
ช่วงที่อยู่บ้านมา ตนก็มีปัญหาระหองระแหงกับภรรยาหลายครั้ง เพราะภรรยาติดพนัน ชอบเล่นพนันออนไลน์ เขาอ้างว่าต้องส่งเบี้ยประกันชีวิตทุกเดือน เดือนละ 2 พันกว่าบาท แต่พอถึงเวลาเจ็บป่วย กลับไม่มีประกันชีวิต เพราะเขาขาดส่งมานานแล้ว มารู้ทีหลังว่าเขาเอาเงินไปเล่นพนันหมด
แล้วก็ยังมีปัญหาเรื่องเงินทองทรัพย์สิน ที่ฝั่งพ่อตาแม่ยายจะบอกให้ตนไปหาเงินมาทำบ้าน ไปเอาเงินจากญาติพี่น้องเรามา ซึ่งเราก็บอกว่า ป้าของตนเขาไม่มีเงินจะให้แล้ว จ่าจ๊อด บอกอีกว่า ตนเคยมีปัญหาเรื่องหนี้บ้าน เกือบจะถูกฟ้องล้มละลาย แต่ตนไปเคลียร์หมดแล้ว พ้นจากเรื่องนี้แล้ว แต่เหมือนพ่อตายังติดค้างคาใจ เคยหลุดปากพูดว่า “ใครจะเอามัน มันเป็นคนล้มละลาย”
ชนวนเหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 67 ตนรับพลุมาจากรุ่นพี่ เตรียมจะเอาไปขายลูกค้า แต่ระหว่างเอาออกมาเตรียม ปรากฏว่าชนวนติดไฟตนกลัวจะระเบิดจึงโยนพลุออกไปนอกหน้าต่าง ครอบครัวของเมียก็มาด่า หาว่าตนจะเผาบ้านเขา ตอนนั้นก็มีปากเสียงกันรอบแรก แต่ก็จบไป แล้วตนก็ดื่มเหล้าเมาต่อเนื่อง
จนถึงวันที่ 21 เมษายน ตนนั่งดื่มเหล้าในห้องนอน จู่ ๆ แม่ยาย ได้เข้ามาด่าทอต่อว่า เรื่องที่ตนดื่มสุรา จึงมีปากเสียงกัน ทำให้ พ่อตา น้องเมีย ลูกน้องของพ่อตา เข้ามาล็อกตัว แล้วเอาเชือกไนลอนสีน้ำเงินมัดตนเอง โดยมัดมือไพล่หลัง แล้วจับโยนขึ้นรถกระบะ 4 ประตู พอขึ้นรถได้ก็เอาเชือกอีกเส้นมามัดเท้า
แล้วน้องเมียเป็นคนขับรถ โดยมีพ่อตา แม่ยาย และลูกน้องพ่อตา นั่งประกบมา โดยนำมาส่งที่บ้านของลุงที่อำเภอบางใหญ่ นนทบุรี เมื่อแม่และลุง เห็นสภาพตนเองถูกมัดมือมัดเท้า มีร่องรอยถูกทำร้ายร่างกาย จึงพาส่งโรงพยาบาลบางใหญ่ รักษาบาดแผล ก่อนจะไปแจ้งความที่ สภ.บางใหญ่ ในวันที่ 29 เมษายน เอาผิดทั้ง 4 คน ในข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว และทำร้ายร่างกาย โดยยืนยันว่า จะดำเนินคดีตามกฎหมายถึงที่สุด แต่ผ่านมากว่า 1 ปีแล้ว คดีกลับไม่มีความคืบหน้า จึงต้องมาร้องขอความเป็นธรรม
ฝ่ายคุณบุ๋ม อดีตภรรยา เล่าว่า สิ่งที่จ่าจ๊อดพูดมาไม่จริง ตนไม่ได้เล่นพนัน แต่สาเหตุที่หยุดส่งประกัน เพราะตนเป็นพยาบาล ตนก็เลยไม่ได้จ่ายประกันชีวิต แต่พอตนออกจากงานที่ รพ. มาทำงานที่ รพ.สต.ใกล้บ้าน รายรับของเราลดลง ก็เลยพยายามหางานทำเพิ่ม ปรากฏว่าสามีมาอยู่ที่บ้าน เขาไม่มีงานทำ เราก็พยายามติดต่อให้เขาไปทำเครื่องเสียงเครื่องไฟกับญาติเรา จะได้หาเงินมาเลี้ยงดูลูก
แล้วต่อมา ตนอยากจะหาเงินเพิ่ม คิดอยากเปิดคลินิก ขออนุญาตอะไรต่างๆ ถูกต้องหมด แต่พอเปิดคลินิกได้ไม่นาน อดีตสามีคนนี้ ไปถ่ายคลิป ไปร้องเรียน ว่าตนแอบฉีดยาให้คนไข้ ซึ่งตนเป็นพยาบาล ทำได้แค่ทำแผล กับให้ยาทั่วไป ไม่สามารถฉีดยาได้ จนสุดท้ายชาวบ้านเขารู้ว่าเรามีปัญหากัน เราก็ต้องปิดคลินิกไป ทั้งที่ลงทุนกันมา ตอนนั้นเป็นผัวเมียไม่ได้หย่ากัน ไม่เข้าใจว่าเขามาทำลายหน้าที่การงานของเราทำไม
ที่เป็นปัญหาหนักๆ คือตอนที่เปิดเรื่อง คือเขาเมามาก แล้วไปเอาพลุ เอาดอกไม้ไฟ มาทำอะไรในบ้านไม่รู้ ช่วงนั้นเขาเมาโวยวาย อาละวาด จนเราต้องพาลูกไปอยู่บ้านอีกหลัง ปรากฏว่าเขาเอาดอกไม้ไฟ เอาพลุ มาแขวนประตู ต่อชนวน เตรียมกดรีโมตให้ระเบิดได้ทุกเมื่อ โดยที่เขารู้อยู่แล้วว่า แม่ยายต้องเข้าบ้านมาเอานมให้หลาน ถ้าแม่ยายเดินเข้าไปวันนั้น ก็คงโดนระเบิดหน้าเละไปแล้ว แม่ยายเห็นท่าไม่ดี ต้องแจ้งตำรวจมาดู จนเขาเห็นว่าจ่าจ๊อดต่อระเบิดไว้แบบนี้ น่ากลัวมาก
แล้วยังมีกรณีที่จ๊อดเอาดอกไม้จันทน์ มาวางกองรวมที่บ้าน พ่อตาถามว่าเอามาวางทำไม จ๊อดบอกว่าจะเผาบ้าน เอาระเบิดมาแขวนล้อมบ้าน เพื่อป้องกันตัวเอง ตอนนั้นคิดว่าไม่ไหวแล้ว น่าจะหนักมาก
พ่อตาเล่าเสริมว่า ตอนนั้นจ่าจ๊อดมีปัญหาเมาพูดจาไม่รู้เรื่องแล้ว มือถูกไฟพลุจนเป็นแผลเหวอะ แล้วยังไม่ขี่รถล้ม จะให้ไปโรงพยาบาลยังไม่ยอมไป สุดท้ายพอคุยกันไม่รู้เรื่อง เราพยายามติดต่อแม่เขา เราต้องพาเขาไปส่งที่บ้านเขา แต่ตอนนั้นเขาอาละวาดไม่หยุด เราต้องมัดมือมัดแขนเขาไว้ เพราะตนต้องขับรถจากบ้านกำแพงเพชร ไปให้ถึงกรุงเทพ ไม่รู้ว่าเขาจะหลุดจากมัดมาต่อสู้ได้ตอนไหน ถ้าเกิดเขาหลุดแล้วเอาเชือกมามัดตอนที่ตนขับรถอยู่ ก็คงตายยกคัน ตอนที่เขาอยู่ในรถ ก็มีคลิปเหตุการณ์ที่เขาด่า อาละวาด ขู่จะเอาให้ตายทั้งคันรถ บอกให้ดื่มน้ำก็ไม่เอา เขาพูดว่าเขากินยานอนหลับไป 30 เม็ดคู่กับเหล้า ปรากฏว่าจ่าจ๊อดบอกว่าไม่ได้ทำจริงๆ แค่ขู่เฉยๆ
พ่อตาบอกอีกว่า แค้นกับคนๆ นี้มานานมาก วีรกรรมสารพัดสิ่งที่พ่ออดทนมานาน เขาไปออกรถ เขาติดเครดิต ออกเองไม่ได้ ตนก็ต้องไปออกรถมาให้ ให้เขาผ่อน ปรากฏว่าเขาไม่จ่ายค่างวด เขาไปขับรถเร็ว ใบสั่งก็ส่งมาหาพ่อตลอด พ่อตาบอกว่าให้เขาไปหาทางเปลี่ยนสัญญาเป็นชื่อเขาได้ไหม เขาก็ไม่ทำ แล้วก็ไม่จ่าย จนสุดท้ายต้องปล่อยให้ไฟแนนซ์มายึดไป
แต่จ่าจ๊อดบอกว่า ที่รถยึดไปก็เพราะบุ๋มเอาเงินไปเล่นพนันหมด แล้วพอรถถูกยึดไป ตนก็มองว่าถือว่าเป็นการลงโทษเมีย ให้เมียลองใช้ชีวิตแบบไม่มีรถดู จะได้รู้ว่ามันลำบากไหม ทำเอาทนายรณณรงค์ถามเช็กอีกทีว่า อันนี้คือต้องการลงโทษเมียจริงๆ หรือ? แล้วลูกที่ต้องไปโรงเรียนจะต้องทำยังไง จ่าจ๊อดบอกว่า ลูกไม่ได้ไปไหน ลูกอยู่บ้าน
ขณะที่ ป้าของจ๊อด ที่เป็นคนที่ให้ยืมเงินมาสร้างบ้าน ป้าบอกว่า ป้าทำงานที่เมืองนอก มีเงินมีทองก็เอามาให้จ๊อด ป้ามาพูดวันนี้ไม่เข้าข้างหลาน เราอยากจะให้เขาทำงานทำการเป็นหลักเป็นแหล่ง แต่เขาก็ไม่ทำ เขาไปอยู่กับครอบครัวเมีย ไปก็ไปแต่ตัว ครอบครัวฝั่งเมียดูแลอย่างดี เราอยากให้เมียเขามีรายได้ ช่วยเขาสร้างคลินิก ยังไม่ทันทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จ๊อดก็ไปทำลายคลินิกของเมีย ป้าช่วยครอบครัวของเขาทุกอย่าง แต่จ๊อดก็ยังมาด่าป้า ว่าป้าเป็นเxยอะไร
จ่าจ๊อดบอกว่า สิ่งที่ต้องการวันนี้ก่อนที่จะไปหย่ากัน คือต้องเอาทรัพย์สินมาแบ่งกันคนละครึ่ง เป็นสินสมรส อย่างน้อยๆ บ้านที่ทำด้วยกันมา ตนเป็นคนช่วยหาเงินมาทำ ก็ต้องหารกัน
สุดท้ายถ้าจะเอาชนะกันมันคงไม่จบ ท้ายที่สุดทางพี่หน่วงช่วยไกล่เกลี่ย ว่าถ้าวันนี้ความสัมพันธ์มันไปต่อไม่ได้แล้วต้องหย่ากัน ก็หย่ากันด้วยดีดีกว่า แล้วเรื่องบ้านที่จ๊อดบอกว่าร่วมกันหามาด้วยกัน ทางเมียบอกว่าจะเก็บไว้ให้ลูก ก็ต้องทำสัญญากันไว้ว่า บ้านหลังนี้จะยกให้ลูก
ส่วนเรื่องสิทธิ์ในการเลี้ยงดู ที่จ๊อดบอกว่า จะไปฟ้องศาล ไปสู้กันในศาล อยากบอกจ๊อดตรงๆว่า ถ้าสู้กันในศาลจริงๆ แล้วจ๊อดเสียสิทธิ์เลี้ยงดู จะไม่มีสิทธิ์เจอลูกอีกเลย ถ้าให้แนะนำก็คิดว่า ควรเจรจาทำข้อตกลงกันดีๆ ดีกว่า อย่างน้อยๆ จ๊อดน่าจะได้สิทธิ์ปกครองร่วม ดีกว่าไปสู้ให้ศาลสั่ง จนสุดท้ายจ๊อดไม่ได้เจอลูกอีก
ทางบุ๋มและครอบครัว ขอว่าหลังจากนี้ ถ้าหย่าแล้ว ทำข้อตกลงกันแล้ว ทั้งเรื่องทรัพย์สิน เรื่องลูก ก็ขอว่าอย่ามายุ่งวุ่นวายหรือทำร้ายกันอีก อย่ามาราวีชีวิตกันอีก อย่ามาสร้างปัญหาต่อกัน ขอแค่นั้นก็พอ จ๊อดยอมรับปากในข้อเสนอนี้ และหลังจากนี้จะไปทำข้อตกลงกัน
ก่อนจบรายการ จ๊อดถามว่า มีความเป็นไปได้ไหมว่า จะกลับมาอยู่ด้วยกันเพื่อลูก แต่ทางพี่หน่วงบอกว่า การไปถามแบบนี้มันก็เหมือนไปผูกมัดเขา วันนี้เราไม่ได้บอกว่าปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดเพราะใครผิดใครถูก แต่วันนี้ฝ่ายหญิงเขามองว่าเขาเจ็บมา จะมาถามว่าจะต้องกลับมาอยู่ด้วยกันอีกได้ไหม ให้เขาตอบวันนี้มันคงไม่ได้ มันอยู่ที่จ๊อดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เขาเชื่อได้หรือเปล่า มันเป็นเรื่องของอนาคต