รายการโหนกระแสวันนี้ (30 ต.ค. 68) กลับมาพูดคุยกันเรื่องผู้เสียหายที่ซื้อบ้านผ่อนตรงกับนายหน้าชื่อ "โอ๋" ซึ่งในเทปที่แล้ว (EP.1) กลุ่มผู้เสียหายหลายราย นำโดยคุณหญิง ได้ออกมาร้องเรียนว่าผ่อนบ้านไปนานหลายปี แต่กลับพบว่าบ้านยังเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคาร ทำให้ถูกไล่ที่ บางรายถูกข่มขู่และพ่นสีหน้าบ้านว่าบุกรุก
ในรายการวันนี้ คุณโอ๋ นายหน้าขายบ้าน ได้มาพร้อมกับทนายความ ทนายทัศไนย เพื่อชี้แจงเพิ่มเติมในมุมของตนเอง โดยมีฝั่งผู้เสียหาย นำโดยคุณหญิง ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่ผ่อนบ้านราคา 4.5 ล้านบาท และผู้เสียหายรายอื่นๆ มาร่วมรายการ
คุณโอ๋เริ่มต้นด้วยการยืนยันว่า ในเคสของคุณหญิง ที่มาร้องห่มร้องไห้ในรายการ EP.1 ว่าถูกโอ๋โกง ถูกข่มขู่คุกคาม และถูกขับไล่ออกจากบ้าน จนทำให้สังคมเข้าใจผิดนั้น คุณโอ๋ยืนยันว่า ในความเป็นจริง คุณหญิงรู้ดีอยู่แล้วว่าบ้านที่เขาซื้อนั้นเป็นบ้านของธนาคารตั้งแต่แรก คุณหญิงเป็นฝ่ายติดต่อมาหาคุณโอ๋เองเพื่อขอซื้อบ้านหลังนี้ และได้ยื่นแสดงบัญชีการเงินของตัวเองที่ระบุว่ามีหนี้สิน ไม่สามารถยื่นกู้ธนาคารได้ จึงมาขอให้คุณโอ๋ช่วย คุณโอ๋ยืนยันว่ามีหลักฐานเป็นแชตข้อความที่คุณหญิงทักมาหาตั้งแต่วันแรก
คุณโอ๋กล่าวว่า เมื่อตกลงซื้อขายบ้านกันในราคา 4.5 ล้านบาท แต่หลังจากผ่อนไปได้สักระยะ คุณหญิงกลับเป็นฝ่ายผิดสัญญากับโอ๋ก่อน โดยคุณหญิงยอมรับเองว่ามี "ผู้ใหญ่" คนหนึ่งมาช่วยเหลือ ทำให้เธอได้บ้านหลังนี้ไปผ่อนกับธนาคารโดยตรง ในราคาเพียง 3.7 ล้านบาท ซึ่งถูกกว่าราคาที่ทำสัญญาไว้กับโอ๋ คุณโอ๋อธิบายว่า การที่คุณหญิงจะเอาบ้านหลังนี้ไปผ่อนกับธนาคารเอง มันจึงเกิดส่วนต่างราคาขึ้น ซึ่งคุณหญิงจะต้องหาเงินมาจ่ายคืนให้กับโอ๋ แต่ในวันไกล่เกลี่ย คุณหญิงไม่มีเงินมาจ่ายและร้องไห้ สุดท้ายคุณโอ๋อ้างว่าตนไม่อยากมีปัญหา จึงยอมยกส่วนต่างนี้ให้ และได้ให้คุณหญิงทำสัญญาตกลงว่าจะไม่มีการมาฟ้องร้องอะไรกันอีก
คุณโอ๋ยืนยันว่า ไม่เคยส่งคนไปข่มขู่คุกคามคุณหญิงตามที่กล่าวอ้าง ส่วนหลักฐานที่อีกฝ่ายนำมาเปิดเผย ก็เป็นเพียงภาพที่โอ๋เดินไปถ่ายรูปหน้าบ้านเขาเท่านั้น
ฝั่งคุณหญิงได้แย้งในประเด็นนี้ว่า สาเหตุที่ตนหยุดผ่อนจ่ายกับคุณโอ๋ในวันที่ 5 เมษายน 67 นั้น เป็นเพราะย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 67 ได้มีเจ้าหน้าที่ธนาคารมาที่บ้าน และแจ้งว่าตนกำลังบุกรุก โดยยืนยันว่าบ้านหลังนี้เป็นทรัพย์ของธนาคาร ไม่ใช่ทรัพย์ของคุณโอ๋ การที่ตนอาศัยอยู่จึงถือว่าผิดฐานบุกรุก
ต่อมาในวันที่ 10 เมษายน 67 ธนาคารได้นัดให้คุณหญิงเข้าไปพบที่สาขาเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยปัญหา ในวันนั้น ที่มีการเจรจาเรื่องส่วนต่างตามที่คุณโอ๋กล่าว คุณหญิงยืนยันว่า ตนไม่สามารถหาเงิน 1 ล้านกว่าบาทมาจ่ายตามที่คุณโอ๋เรียกร้องได้ เมื่อรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม คุณหญิงจึงไปร้องเรียนต่อธนาคารที่สำนักงานใหญ่ จนกระทั่งสำนักงานใหญ่ได้ส่งเรื่องกลับมาสอบถามที่สาขา และมีการไล่บี้เรื่องเพื่อให้ความเป็นธรรม จนสุดท้ายทำให้คุณหญิงได้บ้านมาผ่อนกับธนาคารโดยตรงในที่สุด
ส่วนประเด็นเรื่องแชตที่คุณโอ๋นำมาอ้างว่าตนรู้เรื่องสถานะบ้านตั้งแต่แรกนั้น คุณหญิงยืนยันว่า แชตที่คุณโอ๋เอามาแสดง เป็นแชตที่ถูกตัดตอนมาจากหลายเหตุการณ์มาต่อกัน ไม่ใช่แชตบทสนทนาเต็ม ซึ่งตนมีหลักฐานแชตเต็มที่ไม่มีการลบ
เคสต่อมา เป็นเรื่องของคุณออย ที่ทำสัญญาซื้อบ้าน วางมัดจำ 35,000 บาท แล้วก็ทำสัญญาผ่อนเรื่อยมาถึงปัจจุบัน รวมยอดผ่อนประมาณ 496,000 บาท จู่ๆ มีธนาคารมาแจ้งว่า มีคนมาช้อนซื้อบ้านหลังนี้ไปแล้ว คุณออยจึงงงว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร จึงไปย้อนดูสัญญา ทำให้รู้ว่าสัญญาที่ตนทำตั้งแต่วันแรกนั้น ในสัญญาเป็นบ้านคนละหลัง กับที่ตนอยู่อาศัยจริงและได้ต่อเติมไปเยอะแล้ว
เคสนี้ คุณโอ๋ยอมรับความผิดพลาดเรื่องสัญญา และพยายามแก้ไขปัญหาให้ลูกค้า โดยถามว่าจะเอาบ้านหลังนี้เหมือนเดิม หรือจะเอาบ้านหลังใหม่ ถ้าหากยอมย้ายไปบ้านหลังใหม่ซึ่งมีพื้นที่ใหญ่กว่า ค่าใช้จ่ายทั้งหมดโอ๋จะรับผิดชอบ แต่คุณออยยืนยันว่าบ้านหลังนี้ตนได้ต่อเติมทำอะไรไปเยอะแล้ว และไม่อยากย้ายออก คุณโอ๋จึงขอเบอร์คนที่ช้อนซื้อบ้านหลังนี้ไป เพื่อจะไปขอซื้อต่อจากคนนั้นอีกที เพื่อให้คุณออยได้อยู่บ้านหลังนี้ต่อไป
แต่คุณโอ๋มารู้ทีหลังว่า แท้จริงคนที่ช้อนซื้อบ้านหลังดังกล่าวไป ก็คือ คุณกัน (ผู้เสียหายอีกคนใน EP.1) ซึ่งเคยเป็นคู่กรณีกับโอ๋มาก่อน ทำให้คุณโอ๋สงสัยว่า คุณกันเจตนากลั่นแกล้งโอ๋หรือเปล่า
คุณกัน ซึ่งวันนี้มาร่วมรายการด้วย ชี้แจงว่า ตนก็ถูกธนาคารไล่ที่ออกจากบ้านที่ผ่อนกับคุณโอ๋ ทำให้ต้องหาบ้านใหม่ พอดีทาง ธอส. แนะนำว่ามีบ้านหลังนี้ (บ้านที่คุณออยอยู่) ตนก็เลยซื้อ ไม่ได้รู้ว่าเป็นบ้านใคร และไม่รู้จักคุณออยมาก่อน จะบอกว่าตนเจตนาแกล้งคุณโอ๋ได้อย่างไร
คุณโอ๋ยืนยันว่า ในเคสของคุณออย จะรับผิดชอบ และพร้อมจะเจรจาหาทางตกลงในเรื่องนี้ให้ได้ อยู่ที่ว่าคุณออยต้องการอย่างไร
ด้าน ทนายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายคนกลางที่มาฟังในรายการ ได้กล่าวขึ้นมาว่า หลังจากฟังมาทั้งหมด ที่พูดกันอยู่ทั้งหมดนี้เป็นปลายเหตุทั้งสิ้น ต้นเหตุคือ คุณโอ๋ไปซื้อบ้านที่เป็น “ทรัพย์แบงก์” ที่ธนาคารเขาไปซื้อมาจากกรมบังคับคดี ทำเหมือนว่าคุณโอ๋จะซื้อมาอยู่เอง ทั้งทำเองและส่งตัวแทนไปช้อนซื้อมาหลายหลัง โดยบอกว่าจะซื้อมาอยู่อาศัยเอง ไม่ได้บอกว่าจะซื้อมาทำธุรกิจขายต่อ พอธนาคารมาเห็นว่าคนอื่นมาอยู่ ไม่ใช่คุณโอ๋ มันก็เป็นการบุกรุกทรัพย์แบงก์ เขาถึงมาไล่เอา เราต้องเอาความจริงตรงนี้มาคุยกัน
ทนายสายหยุดกล่าวว่า ธุรกิจที่คุณโอ๋ทำ มันเหมือนการจับเสือมือเปล่า ธนาคารเขาให้เวลาคุณ 20 - 24 เดือน ในการไปปิดยอด ให้คุณอยู่เอง แต่สุดท้ายคุณเอามาขายคนอื่นต่อ ตกแต่งนิดหน่อย แล้วขายออกไป ได้กำไรแน่นอน แต่คุณได้บอกลูกค้าไหมว่า "คุณไม่ได้ซื้อมานะ คุณแค่วางมัดจำมานะ ถ้าฉันผ่อนไม่ไหวเธอเดือดร้อนนะ" อันนี้คุณโอ๋ได้แจ้งลูกค้าหรือไม่ การที่คุณโอ๋แบกภาระบ้านไม่ไหว เอาไปจำนองบ้าง เอาไปวางนอกระบบบ้าง ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แล้วคนที่ซื้อบ้านต่อไปเขาเลยมารับกรรม นี่ต่างหากที่เป็นต้นเหตุ วันนี้เราต้องเอาเรื่องจริง เอาต้นเหตุมาคุยกัน
ขณะที่คุณโอ๋บอกว่า บ้านทั้งหมด 29 หลัง ที่เป็นบ้านของโอ๋ที่ไปทำสัญญากับแบงก์มา เราสามารถปิดยอดได้เกือบทุกหลัง ยืนยันว่าที่ทนายสายหยุดบอกว่าเราแบกไม่ไหว มันไม่จริง มีหลายเคส หลายหลัง ที่เราจ่ายครบ หรือจ่ายเกินสัญญากับธนาคารแล้ว แต่ทำไมถึงโอนบ้านไม่ได้ อันนี้ธนาคารต้องตอบ
ทนายแก้วกล่าวเสริมว่า ตามหลักกฎหมาย การที่เราจะไปประมูลบ้านกับธนาคารพาณิชย์มา ต้องระบุวัตถุประสงค์ว่าเราซื้อไปทำไม จะซื้อไปอยู่เอง หรือเอาไปขายต่อ ปล่อยเช่าก็ว่าไป แต่คุณโอ๋ยืนยันว่า เรื่องนี้ก็ไม่จริง เพราะถ้าธนาคารคิดว่าเราซื้อไปอยู่เอง เขาจะปล่อยบ้านมาให้เราได้ยังไง ลอตละ 10 หลัง ไม่มีใครซื้อบ้านอยู่เองพร้อมกัน 10 หลังหรอก อันนี้ธนาคารต้องมาตอบ