นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุม ครม. ถึงกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. เตรียมยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี กรณีปฎิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มาตรา 157 หากไม่ออกคำสั่งให้กลับไปทำหน้าที่
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีสิทธิฟ้อง เพราะเป็นการฟ้องส่วนตัว แต่เห็นว่าไม่ควรฟ้องและไม่น่าฟ้อง เพราะยังมีช่องทางที่จะได้รับการเยียวยาหลายช่องทาง ควรไปใช้ช่องทางปกติ โดยใช้ช่องทางของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (กพค.) ที่กฎหมายบัญญัติว่า ถ้าใครไม่ได้รับความเป็นธรรมและความเดือดร้อนจากผู้บังคับ และร้องเรียนผู้บังคับบัญชาแล้วไม่ได้ผลก็มายื่นร้องก.พ.ค. เมื่อมีคำตัดสินออกมาอย่างไรให้ปฏิบัติตามนั้น และเวลานี้เรื่องทั้งหมดอยู่ที่กพค.
นายวิษณุ กล่าวว่า ความเห็นจากฝ่ายต่างๆ ทั้งอนุกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) คณะกรรมการกฤษฎีกา จะเป็นหลักฐานที่ส่งไปที่ก.พ.ค. เพื่อวินิจฉัย คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน
ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ควรรอฟังผลจาก กพค.อย่างเดียวหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ทุกคนที่เกี่ยวข้องควรรอ ก.พ.ค.เว้นแต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะไปแก้ไข หรือเยียวยาเอง หากทำอย่างนั้นก็ต้องทิ้งเรื่องไว้ที่ก.พ.ค.
เมื่อถามว่าพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อ้างมติครม.ปี 2482 ว่าหน่วยงานใดที่ขอคำปรึกษาจากคณะกรรมการกฤษฎี ต้องยึดปฎิบัติตามความเห็นกฤษฎีกาด้วย นายวิษณุ กล่าวว่า เรื่องนี้มีอยู่จริง และเป็นผลสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยจอมพลป.พิบูลสงคราม และปฏิบัติกันมาจนถึงทุกวันนี้ และขอย้ำว่าความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ได้ชี้ถูกหรือผิด และคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่มีนายฉัตรชัยพรหมเลิศ เป็นประธาน ก็ไม่ได้ชี้ถูกชี้ผิด รวมถึงการแถลงข่าวของตนในเรื่องดังกล่าวก็ไม่ได้ชี้ถูกหรือผิด เพียงแต่บอกความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดที่ 2 ว่ามีความเห็น อย่างไร และตามหลักกฏหมายที่สื่อมวลชนมาถามว่ามีโอกาสชิงตำแหน่งผบ.ตร.หรือไม่ก็ต้องบอกว่ามี เพราะใครก็ตามที่มียศพล.ต.อ. และเป็นรองผบ.ตร. รวมทั้งจเรตำรวจ ก็มีโอกาสทั้งนั้น สุดท้ายจะได้เป็นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับมติก.ตร.และหลายองค์ประกอบ แล้วขึ้นอยู่กับว่านายกรัฐมนตรีจะเสนอชื่อใคร
เมื่อถามย้ำว่า มติครม.ดังกล่าวที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นำมาอ้างสามารถฟังได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ทุกคนก็นำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์กับตัวเองมาอ้าง ใครจะอ้างอิงเหตุผลที่เป็นโทษกับตัวเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเตรียมฟ้องมาตรา 157 จะส่งผลให้นายกรัฐมนตรี ต้องเป็นกังวลหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่จบ พอดูเหมือนว่าจะนำผลของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่นายกฯตั้งขึ้นไปต่อยอด ถ้ามีการฟ้องร้องอีกถือเป็นคดีใหม่ และคดีเก่าจบไป คดีของพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งเรื่องจบไปแล้วส่วนหนึ่ง ส่วนกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไปยื่นฟ้อง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รองผบ.ตร. และคนอื่นๆ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นธรรมดาเหมือนคดีทั่วไป ที่จบอีกเรื่องก็มีอีกเรื่องหนึ่งขึ้นไป และถือเป็นเรื่องตัวบุคคล ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับองค์กร ไม่เกี่ยวกับกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และขอย้ำประโยคนี้ว่า เขาออกแบบไว้ให้ ก.พ.ค.ตร.เป็นผู้ตัดสินปัญหา ก็ต้องใช้ช่องทางนี้ หากผลตัดสินของ ก.พ.ค.ตร.ไม่เป็นที่พอใจ ก็ไปร้องศาลปกครองได้อีก
เมื่อถามว่าพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สามารถกลับเข้ามาเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร.ได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ถ้าดูจากวันนี้เดี๋ยวนี้ตอบได้ว่ามี แต่ถ้าต่อไป อาจมีการแก้เกมอย่างอื่น จนไม่ได้เป็นก็ได้ เพราะยังมีช่องกฎหมายอีกเยอะ ตามช่องที่คณะกรรมการกฤษฎีกาบอกว่ากระบวนการไม่ชอบ และเป็นเอกฉันท์
เมื่อถามย้ำว่ากระบวนการทั้งหมดจะไม่สามารถดำเนินการได้ หากยังไม่มีการนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ใช่
เมื่อถามอีกว่ามีโอกาสที่จะไม่นำขึ้นทูลเกล้าฯ ได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า เขาจะไม่นำขึ้นทูลเกล้าฯ แน่ เว้นแต่ ก.พ.ค.ตร.จะสั่งลงมา แต่คณะกรรมการกฤษฎีกาก็ไม่ได้บอกว่าไม่ให้นำขึ้นทูลเกล้าฯ แต่เบอกว่าหนังสือที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ มีข้อสังเกตว่า ควรจะถูกต้องตามกระบวนการ เพราะมีตัวอย่างมาแล้วนับ 10 เรื่องที่กระบวนการไม่ถูก แล้วถูกส่งกลับมา ดังนั้นต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ อย่างไรก็ตามทุกอย่างขึ้นอยู่กับ ก.พ.ค.ตร.และรัฐบาลเองก็ฟัง ก.พ.ค.ตร. จะเอาอย่างไรก็เอาตามนั้น
ที่มา : ข่าวสด