นักเรียนโหนกระแสชื่นชม “ทนายไพศาล” นั่งฟังทั้งรายการ ก่อนเอาหลักกฎหมายมาเคลียร์ตอนท้าย ชี้ชัดทุกประเด็น

จากกรณีที่ รายการโหนกระแสวันนี้ พูดคุยกรณีปัญหาการขายรถหรู ของ “ออฟฟี่ แม็กซิม” ซึ่งตลอดทั้งรายการ ฝ่ายสามี กับ พ่อของออฟฟี่ โต้กันอย่างดุเดือด ฝ่ายคุณหนุ่ม สามีของออฟฟี่ ปะทะคารมกับ คุณแอน เพื่อนคนสนิทของออฟฟี่ รวมทั้งปะทะคารมกับ พ่อของออฟฟี่ ทั้งเรื่องการขายรถโดยไม่แจ้งให้สามีทราบ สิทธิ์ในการดูแลค่าใช้จ่ายในบ้าน การรับผิดชอบเรื่องเงินของออฟฟี่ด้วย

หลังเรื่องราวยืดเยื้อมานานเป็นชั่วโมง สุดท้ายคนที่รับหน้าที่คนกลาง นั่งฟังมาตลอดรายการอย่าง ทนายไพศาลเรืองฤทธิ์ ก็ได้ยกประเด็นข้อกฎหมายมาตอบเคลียร์ชัดทุกประเด็น ระบุว่า

 การทำธุรกรรมใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลวิกลจริต จะกลายเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อ 1.บุคคลนั้น มีอาการวิกลจริตขณะที่ทำธุรกรรมนั้น หรือ 2. ผู้ทำธุรกรรมร่วม รับรู้ว่าบุคคลที่ทำธุรกรรมด้วย เป็นบุคคลวิกลจริต

เมื่อพูดในแง่นี้ ออฟฟี่ ผ่าตัดสมองมา 2 ครั้ง ธุรกรรมนี้เป็นโมฆียะแล้ว บอกล้างธุรกรรมนี้ได้ ถ้าออฟฟี่ หรือผู้มีสิทธิ์ดูแลออฟฟี่ บอกว่า ไม่เอาแล้ว ไม่ขายแล้ว ก็จบ รถก็กลับคืนสู่กรรมสิทธิ์ของออฟฟี่ ถือว่าเป็นโมฆะไป ทรัพย์นั้นต้องคืน

ส่วนบุคคลที่เป็นวิกลจริต แต่ศาลยังไม่สั่งให้เป็นบุคคลไร้ความสามารถ หนุ่มไปจดทะเบียนสมรสต่างๆ ก็ถือว่าทำไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นบุคคลวิกลจริต จดทะเบียนสมรสไม่ได้ ดังนั้น สิทธิ์สำคัญจึงกลายเป็นสิทธิ์ของพ่อ มีสิทธิ์มากกว่าแล้ว จะบอกล้างธุรกรรมหรือไม่บอกล้าง พ่อจะมีสิทธิ์มากกว่าแล้ว หรือจนกว่าใครจะไปยื่นต่อศาลว่าออฟฟี่เป็นบุคคลไร้ความสามารถ และได้สิทธิ์เป็นผู้อนุบาล

การที่หนุ่มไปติดตามทวงทรัพย์ในฐานะคู่สมรส มันต้องเป็นทรัพย์สินระหว่างสมรส แต่รถคันนี้ถือว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัว แต่หลังจากนี้จะไปยื่นศาล ไปขอเป็นผู้อนุบาลออฟฟี่ได้ตามสิทธิ์

ในท้ายที่สุด เรื่องการขายรถ ธุรกรรมนี้เป็น “โมฆียะ” รถต้องกลับคืนสู่สถานะเดิม วิธีการคิดง่ายๆ อย่างตอนที่ต้องปั๊มนิ้ว ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าเขาเซ็นไม่ได้ ต้องใช้วิธีปั๊มนิ้ว แต่ตอนนี้เขารู้ตัวแล้ว เขามีสิทธิ์บอกล้างได้

คำแนะนำของทนายไพศาลคือ ต่อจากนี้ควรต้องยื่นต่อศาลให้เป็นบุคคลไร้ความสามารถ และให้ศาลเป็นคนชี้ แล้วระบุผู้อนุบาลเลยว่าจะเป็นสามี หรือ บิดา เรื่องนี้จะได้ไม่ต้องมาเจอปัญหาแบบนี้อีก