กองทัพไทย แถลงโต้ “มาลี โสเจียตา” ปล่อยเฟกนิวส์ว่าชายแดนไร้เสียงปืน ยืนยัน "กัมพูชายิงก่อน-ละเมิดข้อตกลง"  โฆษกกลาโหมเขมรสร้างภาพลวงโลก

กองทัพไทยออกแถลงการณ์ตอบโต้กรณี พลโทหญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงข่าวว่า "ไม่มีเสียงปืนดังขึ้นตามแนวชายแดน" และว่าทั้งสองฝ่ายหยุดยิงโดยสมบูรณ์ตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 โดยกองทัพไทยปฏิเสธคำกล่าวนี้ทั้งหมด พร้อมระบุว่า:

กองทัพไทยขอปฏิเสธคำแถลงการณ์ของ พลโทหญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ที่อ้างว่า “ไม่มีเสียงปืนดังขึ้นตามแนวชายแดน” และทั้งสองฝ่ายได้หยุดยิงโดยสมบูรณ์ตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568

ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง โดยฝ่ายกัมพูชา เป็นฝ่ายที่ยังคงใช้อาวุธยิงเข้ามาในเขตแดนของไทยในหลายจุด หลังเส้นตายข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งฝ่ายไทยมีหลักฐานชัดเจนถึงการละเมิดพันธกรณีทั้งที่ผู้นำทั้งสองประเทศเพิ่งลงนามร่วมกัน

พลโทหญิง มาลี โสเจียตา ไม่เพียงแต่หลอกประชาชนกัมพูชา แต่ยังหลอกตัวเองจนติดกับมายาที่ตนสร้างขึ้น พฤติกรรมเช่นนี้มิใช่เพียง การบิดเบือนความจริง แต่ยังเป็น ความพยายามปั้นโลกปลอม เพื่อกลบเกลื่อนการกระทำของตน และเบี่ยงเบนสายตาจากความรับผิดชอบที่ฝ่ายตนควรต้องเผชิญ

กองทัพไทยขอเรียกร้องให้ พลโทหญิง มาลี โสเจียตา ยุติพฤติกรรมลวงโลก ที่บั่นทอนความเชื่อมั่น และทำลายหลักการพื้นฐานของความร่วมมือระหว่างประเทศ และประชาคมโลกต้องไม่ปล่อยให้ “มายาคำพูด” บดบังความจริง

กองทัพไทยยืนยันว่า ไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มต้นความรุนแรง แต่จำเป็นต้องปกป้องอธิปไตยของชาติ และความปลอดภัยของประชาชน ด้วยมาตรการที่ชอบธรรมและตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ

ขณะเดียวกัน ทางฝั่งไทยยังยืนยันว่าจะเดินหน้าประสานการหารือกับฝ่ายกัมพูชาในระดับท้องถิ่น เพื่อควบคุมสถานการณ์ตามแนวชายแดนให้อยู่ในความสงบ โดยล่าสุด พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ระบุว่า

• พื้นที่กองทัพภาคที่ 1 ได้แก่ กองกำลังบูรพา และกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ได้มีการพบปะหารือกับฝ่ายกัมพูชาเรียบร้อยแล้ว
  
   
• ส่วนพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 โดยกองกำลังสุรนารี ยังอยู่ระหว่างการประสานกำหนดวันและเวลาที่เหมาะสมกับฝ่ายกัมพูชา จึงยังไม่มีการหารือในขณะนี้
  
   
• หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติมจะมีการแจ้งให้ทราบต่อไป
  
   

กองทัพไทยย้ำว่าการรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดนจะต้องดำเนินไปบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ไม่ใช่ภาพลวงตาที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อผลทางการเมืองหรือบิดเบือนความรับผิดชอบจากฝ่ายที่ละเมิดข้อตกลงเอง