มาร่วมตีแผ่กระแสที่แรงที่สุดในสังคม กับรายการโหนกระแสthaich3ช่อง 3 กด 33
ติดต่อเราfacebooktiktokxyoutube
honekrsaaehonekrsaae
thaich3ช่อง 3 กด 33honekrsaae
ข่าวกำลังโหน
โหนทุกข่าว
โหนบันเทิง
โหนไปมู
โหนร้องทุกข์
วีดีโอ
search
ปิด
honekrsaae
honekrsaae
มาร่วมตีแผ่กระแสที่แรงที่สุดในสังคม กับรายการโหนกระแส
thaich3ช่อง 3 กด 33
หน้าหลัก
ข่าวกำลังโหน
โหนทุกข่าว
โหนบันเทิง
โหนไปมู
โหนร้องทุกข์
วีดีโอ
Live
ติดต่อเราfacebooktiktokxyoutube

สุดจะพีก ผู้เสียหายไปตามทวงเบนซ์คืนจาก “จอมโจรทิวลี่” ตำรวจพาไปถึงบ้าน แต่ปล่อยให้เคลียร์กันเอง ตำรวจหนีกลับ ปล่อยเจ้าของรถถูกขังในบ้านของคู่กรณี


ข่าวด่วน
9 สิงหาคม 25673,142
สุดจะพีก ผู้เสียหายไปตามทวงเบนซ์คืนจาก “จอมโจรทิวลี่” ตำรวจพาไปถึงบ้าน แต่ปล่อยให้เคลียร์กันเอง ตำรวจหนีกลับ ปล่อยเจ้าของรถถูกขังในบ้านของคู่กรณี

รายการโหนกระแสวันนี้ พูดคุยกรณี สองผู้เสียหายแจ้งว่า ให้เพื่อนเช่ารถเบนซ์ แต่สุดท้ายไม่ยอมจ่ายค่าเช่า ยึดรถเอาไว้ พอไปติดตามเอารถคืน ประสานตำรวจในท้องที่ให้พาไปที่บ้าน ตำรวจพาไปจนถึง แต่สุดท้ายตำรวจบอกว่า ผมพามาแล้ว ที่เหลือคุณเคลียร์เอง ผมไม่มีหน้าที่แล้ว ปล่อยเจ้าของรถถูกขังไว้ในบ้านของคู่กรณี

ผู้เสียหาย 2 คนเป็นแฟนกัน คือคุณณภพ และคุณปาม เล่าว่า ย้อนกลับไปหลายปีก่อน ได้รู้จักผู้ ทิวลี่ คนนี้ จากการที่เขาติดต่อมาขอเป็นสปอนเซอร์รายการท่องเที่ยวของตัวเอง ตอนนั้นคนเรียกเขาว่าคุณหมอ เราไม่รู้ว่าเขาเป็นหมอจริงไหม

 

แต่ต่อมา เขาก็บอกว่าเขาเป็นเจ้าของคลินิกความงาม มีเครื่องอยู่ที่บ้าน ก็ให้เราไปทำหน้า ไปดูแลผิวที่บ้านของเขา แล้วก็เลยมีการพูดคุยสนิทสนมกันในช่วงหนึ่ง แต่ต่อมาก็แยกย้ายหายจากกันไป

 

ต่อมาหลายปี มีคนมาติดต่อพวกตนว่า ขอยืมเงินหลักแสน เพราะ “หมอทิวลี่” คนนี้ไปติดคุก เขาต้องการเอาเงินนี้ไปใช้จ่ายในเรือนจำ เพื่อจะเป็น “มหาราณี” ในคุก เป็นคนชนชั้นสูง ดูแลลูกนองในเรือนจำ เรื่องเหล่านี้เขามาเล่าให้พวกตนฟัง แต่ก็ไม่ได้เชื่อ ติดต่อไปหาพ่อของทิวลี่ เพื่อสอบถามว่าติดคุกจริงไหม พ่อก็บอกว่าลูกยังอยู่สบายดี พวกตนจึงไม่ได้ให้เงินอะไรกับคนที่มาติดต่อ

 

แต่ไม่นานหลังจากนั้น ทิวลี่ก็ติดต่อมา บอกว่าเพิ่งออกจากเรือนจำมาจริงๆ แล้วก็มาเล่าเรื่องราวเหมือนกับที่ชายคนนั้นเคยมาเล่า แล้วก็บอกว่าอยากจะริเริ่มทำธุรกิจอะไรต่างๆ เริมต้นชีวิตใหม่หลังพ้นโทษ ตอนแรกเขามาขอยืมรถเบนซ์ไปใช้ เพื่อให้ภาพลักษณ์การค้าดูดี ดูน่าเชื่อถือ จึงให้ยืมไป แต่ได้บอกว่า หากมีคนเช่า ต้องเอามาคืน 

 

รถที่เช่าไป เป็นรถเบนซ์ รุ่น SLK200 สีดำ จึงตกลงค่าเช่ากันที่เดือน 70,000 บาท เพราะปกติรถหรูรุ่นนี้ คิดค่าเช่ารายวันๆละ 9,900 บาท ด้วยความที่เป็นคนรู้จักกันจึงให้เช่าเป็นรายเดือน และไม่ได้ทำสัญญา

 

ตอนที่มารับรถไปใช้ มีการจ่ายค่าเช่า ต่อมาเดือนที่ 2-3  ทิวลี่ ได้ขอลดค่าเช่า จึงลดเหลือเดือนละ 30,000 บาท ซึ่งก็พอจ่ายค่างวดรถ  โดยที่ ทิวลี่ รับปากว่าจะดูรถให้เป็นอย่างดี ทำ พ.ร.บ.ต่อประกันให้ ไม่ต้องห่วง แต่หลังจากนั้นก็เริ่มจ่ายค่าเช่าไม่ตรง ทั้งยังขอยืมเงินสดอีก 150,000 บาท ก็ให้ยืมไป เพราะคิดเพียงว่าให้เขาได้ตั้งตัว เนื่องจาก  ทิวลี่ เคยติดคุก ในข้อหา ร่วมกันเอาไปเสียซึ่งเอกสารใดของผู้อื่น, มีไว้เพื่อนำออกใช้และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบฯ, ฉ้อโกงประชาชนฯ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ  เพิ่งออกจากคุกมา ยังไม่มีเงินทอง  จึงให้เช่ารถไปใช้ ให้ยืมเงิน  แต่เงินที่ยืมก็ไม่ได้คืน  ซึ่งก็ไม่ได้ทวงถาม

 

ต่อมาเดือนมิถุนายน 2567  ทิวลี่ มาขอยืมเงินก้อนที่ 2 จำนวน 150,000 บาทพร้อมหน้าเล่มสมุดคู่มือรถที่เช่าไป จึงเอะใจว่า ไม่ใช่เจ้าของรถจะเอาไปทำอะไร อีกทั้งใบสั่งจากโรงพักต่างๆก็ส่งมาที่ตนในฐานะเจ้าของรถ ตนก็จัดการเสียค่าปรับไปหลายครั้ง ประกันภัยรถยนต์ตนก็ทำและจ่ายเงินไปหลายหมื่นบาท  จึงตัดสินใจทวงรถคืน  โดยติดต่อให้ ทิวลี่ นำรถมาคืนที่สภ.เมืองขอนแก่น  แต่ ทิวลี่ ไม่ยอมนำมาคืน ปรากฏว่าสิ่งที่เขาฝากตำรวจมาแจ้งว่า “ถ้าเงินมา รถก็ไป” เขาขอรีฟันด์ค่าเช่า และค่าซ่อมรถคืน ถ้าเรายอมจ่ายคืน เขาจะเอารถมาคืนให้ โดยบอกว่า เขาจ่ายไปยอดเท่านั้นเท่านี้ แล้วแต่ว่าเราจะคืนเขาเท่าไหร่ ตนเห็นว่ามันผิดปกติแล้ว เราไม่ได้ตกลงกันไว้แบบนี้ จะให้เราตอบกลับเขาไปยังไง ก็เลยเงียบ

 

พอ 2 ก.ค. ก็เลยตัดสินใจไปแจ้งความดำเนินคดีกับ ทิวลี่ ไว้ที่ สภ.เมืองขอนแก่น หลังจากนั้นก็พากันไปที่ จ.ร้อยเอ็ด ไปที่บ้านของเขา ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่าบ้านเขาอยู่ไหน แต่ทางตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่นบอกว่าอย่าเพิ่งเข้าไปในบ้านเขาโดยพลการ ให้แจ้งโรงพักในพื้นที่ก่อน

 

เราจึงไปแจ้งกับ สภ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด มอบหลักฐานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับรถเบนซ์ให้ตำรวจ และขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้พาไปที่บ้านคู่กรณี เมื่อถึงบ้าน เห็นรถเบนซ์จอดอยู่  ตำรวจก็ประสานกับคนในบ้าน ถามหาหญิงคนนี้ว่าอยู่ที่บ้านหรือไม่

 

ตอนแรกตำรวจใช้เวลาคุยอยู่นานมาก เพราะคนในบ้านไม่รู้ว่าทิวลี่เปลี่ยนชื่อมาหลายชื่อมากๆ ชื่อปัจจุบันที่ตนไปแจ้งความไว้ กับชื่อที่คนในบ้านรู้จักเป็นคนละชื่อกันหมดเลย แต่พอรู้ว่าคนที่มาตามหา เป็นทิวลี่ คนในบ้านก็งงว่า “แล้วมันจะรีบออกไปทำไม ในเมื่อมีคนมาหา”

 

เรื่องนี้ทำให้สองผู้เสียหาย คาดเดาว่า น่าจะมีสายส่งข่าวให้เขารู้ตัวล่วงหน้า 

 

ต่อมาได้นำใบแจ้งความเดินทางไปที่บ้านของทิวลี่ ในอำเภอสุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด เพื่อจะเอารถคืน  แต่ก่อนจะเดินทางไปที่บ้าน ได้ขอคำปรึกษากับตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น ว่าต้องทำอย่างไร เพราะเกรงว่าจะถูกกล่าวหาว่าบุกรุก ซึ่งได้รับคำแนะนำว่า ให้ไปที่ สภ.สุวรรณภูมิ มอบหลักฐานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับรถเบนซ์ให้ตำรวจ และขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้พาไปที่บ้านคู่กรณี 

 

เมื่อถึงบ้าน เห็นรถเบนซ์จอดอยู่  ตำรวจก็ประสานกับคนในบ้าน ทราบว่า  ทิวลี่ เพิ่งออกจากบ้านไป คนในบ้านจึงประสานให้เจ้าของบ้าน ซึ่งเป็นบิดาของ ทิวลี่ มาคุยกับตำรวจ ตำรวจ 4 คน ก็เดินทางออกจากบ้าน โดยบอกว่า เรื่องรถที่มีปัญหา คุยกันเอาเองแล้วก็เดินทางกลับออกไป บิดาของ ทิวลี่  จึงทำการล็อกประตูบ้าน  ซึ่งเป็นจังหวะที่เพื่อนที่ไปด้วยกัน  ใช้กุญแจสำรองเปิดเข้าไปในรถ เพื่อจะให้ตำรวจ ตรวจภายในรถ เนื่องจากเกรงว่า หากขับออกไปโดยพลการ จะถูกกล่าวหาว่าลักทรัพย์สินในรถได้ 

 

แต่ตำรวจไม่ตรวจ เพราะรีบออกจากบ้านไป จากนั้นก็ถูกบิดาของ ทิวลี่  กล่าวหาว่าบุกรุกบ้าน จึงขอร้องให้บิดา ทิวลี่ ปล่อยเพื่อนออกมา ซึ่งบิดาของทิวลี่ ก็ปล่อยพร้อมกับบอกว่า คนออกได้แต่รถห้ามเอาออกไปเด็ดขาด  รู้สึกงงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น เจ้าของรถจะเอารถคืน แต่กลับไม่ได้คืน ซ้ำยังถูกกล่าวหาว่าบุกรุก ทั้งที่ขอเข้าไปพร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ตำรวจ กลับไม่ช่วยอะไรเลย จึงโทรศัพท์ขอคำปรึกษากับตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น อีกครั้ง ได้รับคำแนะนำให้ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.สุวรรณภูมิ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

 

ขณะที่ พ.ต.อ.ประวิทย์ โทหา ผกก. สภ.สุวรรณภูมิ โฟนอินเข้ามาชี้แจงว่า เจ้าหน้าที่ ที่ไปในวันดังกล่าว ได้รับแจ้งมาจากผู้หญิงคนนี้ (ทิวลี่) มาลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.สุวรรณภูมิ ว่ารถเบนซ์คันนี้มีข้อพิพาทกันอยู่ ขอลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ว่ายังไม่สามารถส่งคืนได้  วันต่อมาก็มีคุณณภพ มาแจ้งว่าเป็นเจ้าของรถตัวจริง มาแจ้งความยักยอกทรัพย์ ให้ตำรวจพาไปตามทวงรถคือ

 

แต่เนื่องจากข้อเท็จจริงยังไม่ชัดแจ้ง ไม่สามารถจะเอารถ หรือเอาทรัพย์สินออกมาได้ พนักงานสอบสวนก็ให้เขาเจรจาไกล่เกลี่ยกันเอง เพราะร้อยเวรเองก็ไม่กล้าตัดสินใจอะไรต่างๆ ไปโดยพลการ

 

แต่ทางทนายแก้วบอกว่า ถึงแม้จะอ้างเรื่องข้อพิพาททางคดี การแจ้งความอะไรต่างๆ ใครแจ้งก่อนแจ้งหลัง มันไม่ใช่เหตุแห่งการโต้แย้ง สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจควรทำ ไม่ใช่พากันกลับโรงพัก แล้วทิ้งคู่ความไว้อย่างนั้น มีคนถูกขังไว้ในบ้านคู่กรณี ถ้ามันเกิดเหตุร้าย เหตุรุนแรงขึ้นมา เขาจะทำยังไง 

 

ทาง ผกก. บอกว่า ได้ตำหนิทางร้อยเวรไว้แล้ว ว่าบางอย่างก็ทำหน้าที่ไม่ได้ครบถ้วนถูกต้อง แต่ต้องขอยืนยันว่า ถ้าความผิดมันยังไม่ปรากฏชัดแจ้ง ร้อยเวรเขาก็ไม่กล้าจะไปทำอะไรที่ผิดไปจากหน้าที่ แล้วถ้ามันเป็นความผิดทางแพ่ง ตำรวจก็ไม่มีสิทธิ์จะไปยึดเอาทรัพย์สินของใครมาทั้งสิ้น

 

ทางทนายแก้วบอกว่า ในเมื่อ สภ.เมืองขอนแก่น เขารับแจ้งความไว้แล้ว ในคดียักยอกทรัพย์ มันเป็นคดีไปแล้ว เขาเพียงแต่ขอความช่วยเหลือจากตำรวจ สภ.สุวรรณภูมิ เขาก็แค่หวังให้ตำรวจช่วยพาเขาเข้าไป แล้วเอารถออกมาไว้ที่โรงพัก แล้วมาพิสูจน์สิทธิ์กัน ก็เท่านั้นเอง ทาง ผกก.ก็ยังบอกว่า สภ.ท้องที่ก็ไม่ได้มีอำนาจทำอะไรโดยพลการ ขอให้เอาหนังสือจาก สภ.เมืองขอนแก่น ส่งมาให้ทางท้องที่เข้าไปยึดรถไว้แค่นั้นพอ 

 

แต่ล่าสุดมีการยืนยันแล้ว ว่าตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น เขาเอาเวลานอกราชการไปตามดูให้ที่บ้านหลังดังกล่าว ยืนยันว่า รถไม่อยู่ที่บ้านแล้ว ไม่รู้ว่าหายไปไหน

 

ทนายแก้วยืนยันว่า สิ่งเหล่านี้มันผิดไปหมด ในเมื่อมันเป็นการแจ้งความคดีอาญาไว้แล้ว ทาง โรงพักท้องที่ได้รับการประสานมาแล้ว ก็ต้องเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ จะมาอ้างว่าความผิดมันยังไม่ชัด มันไม่ได้ อ่านดูก็รู้แล้ว ว่ามันมีใบแจ้งความอะไรต่างๆ คนเป็นร้อยเวร เป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย จะบอกว่ามันยังไม่ชัดได้ยังไง 

 

ทนายแก้วแนะนำว่า ให้ทางเจ้าของรถ ไปแจ้งความไว้ แจ้งความตำรวจร้อยเวรที่ไปในวันดังกล่าวด้วย เพราะความผิดมันสำเร็จแล้ว ต้องปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง

 


แท็กที่เกี่ยวข้อง
#เบนซ์#เช่ารถ#ตำรวจ