รายการโหนกระแสวันนี้ พูดคุยกรณีครอบครัวของ นายสมพร อายุ 50 ปี ที่เสียชีวิต หลังมีอาการป่วยหนักกลางดึก ทางครอบครัวรีบพาไปโรงพยาบาลสูงเนิน ตอนกลางดึก แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่และพยาบาลที่เข้าเวร ถามว่ามาทำไมตอนนี้ มาก็ทำอะไรไม่ได้ ไล่ให้รับยาแล้วกลับบ้าน สุดท้ายวันต่อมา นายสมพรก็เสียชีวิต
โดยสิ่งที่สะเทือนใจมากๆ คือ คุณเขม ลูกสาว อายุ 25 ปี เพิ่งเรียนจบและเตรียมเข้ารับใบปริญญาบัตรในวันที่ 21 สิงหาคม นี้ เจ้าตัวที่สวมชุดครุยมาร่วมพิธีฌาปนกิจผู้เป็นพ่อ ยืนกอดรูปร้องไห้เสียใจเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ทางคุณเขม เตรียมตัวเป็น ว่าที่เจ้าสาว เนื่องจากกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานในช่วงปลายปีนี้อีกด้วย แต่ทางนายสมพร ผู้เป็นพ่อนั้นมาเสียชีวิตอย่างกระทันหันไปเสียก่อน ยังไม่ทันเห็นลูกสาวได้ใส่ชุดครุย ทางคุณเขม จึงสวมชุดครุยมาร่วมพิธีในครั้ง เพื่อให้พ่อใด้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะทำพิธีฌาปนกิจ
โดยคุณบุญมี ภรรยาของผู้ตาย เล่าเหตุการณ์ว่า ในคืนที่คุณสมพรป่วย เขาบอกว่ามีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ขอให้พาไปโรงพยาบาลหน่อย คุณบุญมีไปปลุกลูกชาย พาพ่อไปโรงพยาบาลกลางดึก เวลาประมาณ 03.00 น. ของคืนวันที่ 21 ก.ค. ด้วยอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก โดยไปยังห้องฉุกเฉิน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่อยู่ประมาณ 3-4 คน โดยในเบื้องต้นทางโรงพยาบาลไม่เชื่อว่า ทางนายสมพรนั้นมีอาการวิกฤตจริง
ทางเจ้าหน้าที่เลยแจ้งว่า รพ. ช่วงเวลานี้รับเฉพาะกรณีที่ผู้ป่วยวิกฤตจริงเท่านั้น ตอนนี้มาทำไมทำอะไรไม่ได้ พร้อมกับให้กลับบ้านและปฏิเสธการรักษาท่าเดียว ซึ่งเวลานั้นทางครอบครัวได้ขอร้องให้ทางโรงพยาบาลรับนายสมพรเอาไว้ เพื่อนอนรอดูสังเกตอาการ แต่ทางโรงพยาบาลได้ทำการปฏิเสธ และไล่นายสมพร ลงจากเปลผู้ป่วยให้มานอนตรงที่นั่งพักรอคิว ในขณะนั้นทางนายสมพรนั้นอาการเริ่มทรุดหนักสังเกตจากสีหน้าเพราะไม่สามารถนั่งได้แล้ว คุณสมพรถึงกับต้องล้มตัวลงนอนบนเก้าอี้ เป็นภาพที่ทำให้ภรรยารับไม่ได้ ทำไมต้องปล่อยให้คนไข้มานอนแบบนี้ การนอนอยู่บนเปลมันยากเย็นอะไรนัก
นอกจากนี้ทางโรงพยาบาลได้มีการตำหนินายสมพร ว่า ทำไมถึงไม่ใส่หน้ากากอนามัยมา คุณบุญมีบอกว่ามันฉุกละหุก ไม่ได้เตรียมมา ทางจนท.โรงพยาบาลบอกว่า ไม่มีก็ไปซื้อสิ ใช้เวลาอยู่ที่โรงพยาบาลแค่ 10 นาที เขาก็จ่ายยาที่ดูแล้วไม่น่าจะเกี่ยวกับอาการป่วย ยาบรรเทาอาการโรคภูมิแพ้ ยาลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และเกลือแร่ ซึ่งจากรับยาทางโรงพยาบาลก็ให้กลับไปบ้าน และบอกว่าให้มาใหม่ในช่วงเช้า
แต่หลังจากกลับไปบ้านแล้ว นายสมพรอาการไม่ดีขึ้น พร้อมกับทรุดหนักลงกว่าเดิม โดยอาเจียนเป็นเลือด ซึ่งทางญาติจึงได้นำตัวนายสมพรไปยังโรงพยาบาลอีกครั้งตอนเวลา 06.00 น. กว่าจะได้รักษาก็เวลา 08.00 น. ซึ่งหลังจากไปรอบที่ 2 ทางหมอและพยาบาลก็ได้ตรวจร่างกายและอีกหลายอย่างก่อนที่จะเห็นว่า อาการไม่ดีขึ้น เกินความสามารถในการรักษาของโรงพยาบาล จึงได้มีการส่งตัวไปรักษาต่อยังโรงพยาบาลมหาราชฯ ซึ่งกว่าจะมาถึงและเข้ารับการรักษาก็เป็นเวลา 11.00 น. แล้ว ซึ่งขณะกำลังรักษาอยู่ที่ รพ.มหาราชฯ นั้น ทางแพทย์และพยาบาลก็ให้การรักษาอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายนายสมพร ได้เสียชีวิตในช่วงบ่ายของวันที่ 22 ก.ค.
ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนตั้งคำถามถึงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแห่งแรก เนื่องจากตนรู้สึกว่า การดูแลรักษาคนไข้นั้นไม่เต็มที่ และมารยาทก็ไม่ดี ทั้งเรื่องการให้นายสมพร พ่อตาของตน ลงจากเปลไปนอนอยู่ที่นั่งรอคิว รวมไปถึงการตำหนิเรื่องการใส่หน้ากากอนามัย ทำไมถึงต้องให้ญาติ วิ่งออกไปหาซื้อหน้ากากอนามัย ทั้งที่ทางโรงพยาบาลน่าจะมีแค่ 1 ชิ้น ก็ให้ไม่ได้เลยเหรอ
นอกจากนี้ยังมีตอนที่นายสมพรไปตามนัดตอนเช้า ซึ่งอาการทรุดมากแล้ว มีหมอคนหนึ่งของทางโรงพยาบาลสูงเนิน ที่ดูฟิล์มเอกซเรย์ แล้วพูดเสียงดังขึ้นมาว่า “คุณเป็นมะเร็งนะ รักษาไม่ได้แล้ว ให้ญาติทำใจ” ทั้งที่พ่อไม่เคยมีประวัติเป็นมะเร็ง และสุดท้ายที่เสียชีวิต ทางโรงพยาบาลมหาราชก็บอกว่าไม่เกี่ยวกับมะเร็งเลย ไม่เข้าใจว่าหมอที่โรงพยาบาลสูงเนินจะพูดแบบนั้นทำไม
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนอยากให้ทางรพ. ออกมาชี้แจงรายละเอียดว่า เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงไม่รับพ่อของตนไว้รักษาตั้งแต่แรก ซึ่งทางแม่ของตนและพี่ชายก็พยายามบอกให้ทางโรงพยาบาลรับตัวพ่อเอาไว้ เพื่อดูอาการ เพราะอาการพ่อของตนนั้นไม่ดี แต่ทางโรงพยาบาลกลับปฏิเสธพร้อมกลับให้ไปรักษาตัวที่บ้าน จนกระทั่งอาการพ่อของตนนั้นทรุดหนัก ส่งไปรักษาตัวที่ รพ.มหาราชสายเกินไปจนพ่อของตนนั้นเสียชีวิตในที่สุด
นอกจากนี้ คุณบูม สามีของคุณเขม เล่าอีกว่า ในงานศพของคุณพ่อ มีทาง ผอ.โรงพยาบาลมาร่วมงาน แล้วมาพูดกับครอบครัวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ ทาง ผอ.ที่มาประจำที่โรงพยาบาลสูงเนิน ท่านเป็นหมอที่เก่งมากมาจากที่อื่น และกำลังมาปรับปรุงสิ่งต่างๆ ในโรงพยาบาลสูงเนินให้ดีขึ้น มันอาจจะมีปัญหาต่างๆ ในเรื่องการรักษาบ้าง แต่กำลังพยายามทำทุกอย่างให้ดีขึ้น ถ้าทางครอบครัวอยากได้อะไร ให้ทางครอบครัวแจ้งได้เลย หมอจะจัดการให้
คุณบูม บอกว่า ถ้าจะพูดแบบนี้อย่าพูดดีกว่า ถ้าการรักษามันมีปัญหา มันด้อยกว่ามาตรฐานสัก 40-50 เปอร์เซ็นต์ ตนยังพอทำใจรับได้ แต่สิ่งที่ทางครอบครัวของตนเจอ มันเหมือนมาตรฐานในการรักษาดูแลผู้ป่วยมันหายไป 99.99 เปอร์เซ็นต์ จะให้ตนทำใจรับได้ยังไง
ขณะที่ หมอหมู รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) บอกว่า เท่าที่ดูจากเอกสารแพทย์ที่รับรองการเสียชีวิต พบว่าเกิดจากอาการปอดบวม ปอดติดเชื้อ พอมีการติดเชื้อแล้วก็จะไปติดเชื้อในกระแสเลือด จนทำให้เชื้อลามไปติดอวัยวะในร่างกายส่วนอื่นๆ เมื่อมีประวัติดื่มสุรา ก็ทำให้ภูมิคุ้มกันต่างๆ ในร่างกายต่ำกว่าปกติ ประกอบกับที่ทางครอบครัวบอกว่ามีอาการอาเจียนออกมาเป็นเลือด ก็สอดคล้องกับอาการเหล่านี้
สิ่งที่ต้องพิสูจน์ให้ชัด ก็คือ ตอนที่ญาติพาไปโรงพยาบาลตอนแรก อาการของคนไข้ฉุกเฉินหรือไม่ฉุกเฉิน เพราะทางญาติคนไข้ กับโรงพยาบาลแถลงออกมาไม่ตรงกัน ทางโรงพยาบาลบอกว่า ตอนที่ตรวจครั้งแรกสุดตอนที่คนไข้มา อาการไม่ฉุกเฉิน ค่าออกซิเจน วัดไข้ อะไรต่างๆ อยู่ใกล้เคียงระดับปกติ แต่ทางญาติของผู้ป่วยบอกว่า ตอนที่ไปถึงโรงพยาบาล ไม่มีการตรวจอะไรเลย มีแต่เอาที่ฟังเสียงปอดมาแนบๆ เล็กน้อย ใช้เวลาแค่ 10 นาทีก็ไล่กลับ จะรู้ได้อย่างไรว่าฉุกเฉินหรือไม่ฉุกเฉิน หมอหมูบอกว่า เรื่องนี้ต้องเอากล้องวงจรปิดมาเปิดให้ชัด ว่าในตอนที่รับผู้ป่วย เขาได้ทำการตรวจวัดอะไรต่างๆ จริงหรือไม่ ต้องเอาบันทึกการพยาบาลมาดู ว่าตรวจหรือไม่ตรวจ
ขณะที่ นายกองตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์” ปฏิบัติหน้าที่ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข บอกว่า เรื่องที่ทางครอบครัวกังวลเรื่องต่างๆ ที่พูดในรายการวันนี้ จะลงไปตรวจสอบให้ครบทุกประเด็นแน่นอน การพูดอะไรต่างๆ ที่ทางเจ้าหน้าที่พูด ทั้งเรื่องหน้ากากอนามัย เรื่องการไล่กลับ หรือแม้แต่เรื่องที่ทางโรงพยาบาลไปพูดกับญาติของผู้ตาย ว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ อันนี้เป็นคำพูดที่ไม่เหมาะสม ไม่สมควร จะต้องมีการไปตรวจสอบให้ชัด ตนจะลงพื้นที่ไปตรวจสอบเองที่สูงเนิน ทำข้อเท็จจริงให้ปรากฏ โดยขอเวลาตนทำงานสักช่วงสั้นๆ ขอให้ทางครอบครัวสบายใจได้ว่าจะได้รับความเป็นธรรมแน่นอน
ต่อมา ผอ.ต้องตา ชนยุทธ ผอ.โรงพยาบาลสูงเนิน โฟนอินเข้ามาในรายการ บอกว่า หลังจากที่ทราบว่าคนไข้เสียชีวิต ทางโรงพยาบาลได้ส่งทีมเข้าไปพูดคุย ได้ให้กำลังใจทางครอบครัวทันที ทาง ผอ.ก็ไปด้วยตัวเองตามที่นัดหมายกับทางครอบครัว ในวันฌาปนกิจ โดยรับฟังสิ่งที่ทางครอบครัวยังค้างคาใจ ซึ่งทาง ผอ.ก็คงพูดอะไรยาก พูดไปก็ดูเหมือนมันเป็นการแก้ตัว แต่ก็ได้รับปากทางครอบครัว ว่าจะไปสอบสวนข้อเท็จจริงให้หมดทุกประเด็น
โดยได้นัดหมายพูดคุยกับทางญาติในวันที่ 1 ส.ค.นี้ ซึ่งทาง รพ.มีหลักฐาน มีข้อมูลทุกอย่าง มีภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งพร้อมจะชี้แจงให้ทางญาติได้รับทราบแน่นอน แต่สุดท้ายเมื่อถูกคุณบูม จี้ถามถึงคำพูดที่ ผอ.มาพูดในวันเจรจา ว่าเรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องที่ผิดพลาดกันได้ มันออกจากปาก ผอ.มาได้ยังไง สุดท้าย ผอ.บอกว่าขออนุญาตไม่คุยต่อ ขอคุยวันที่ 1 ทีเดียวเลย แล้ววางสายไปทันที
ขณะที่ทนายแก้ว ซึ่งมีความหลัง คุณแม่ของทนายแก้วเสียชีวิตที่โรงพยาบาลแห่งนี้เหมือนกัน บอกว่าจะขอทำคดีนี้ให้ด้วยตัวเอง ทำให้ฟรี เพราะเข้าใจความรู้สึกผู้สูญเสีย เข้าใจว่าการถูกปฏิบัติเหมือนเป็นพลเมืองชั้นสองนั้นรู้สึกอย่างไร
ส่วนที่ติดค้างคาใจทนายแก้วคือ บางครั้งไม่ต้องรอให้พิสูจน์ว่าใครถูกใครผิด แต่คำว่าขอโทษมันพูดได้เลย แม้แต่ทางธนกฤต เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ท่านยังกล่าวขอโทษทางครอบครัวก่อนเลย แต่เท่าที่ฟัง ไม่มีคำว่าขอโทษออกมาจากปาก ผอ.สักคำเดียว เรื่องนี้ถ้าหากทางครอบครัวไม่ได้ต้องการจะไกล่เกลี่ย ในวันที่เจรจาก็สามารถยืนหยัดบนหลักกฎหมาย จะดำเนินการตามกฎหมายได้เลย ขึ้นอยู่กับทางครอบครัวจะดำเนินการอย่างไร