ที่โรงเรียนท่าแพผดุงค์วิทย์ ต.แป-ระ อ.ท่าแพ จ.สตูล ทุกเช้าตรู่สิ่งที่คุณครู นักเรียนได้เห็นเป็นประจำจนชิน คือ ภาพของหนุ่มพิการคนหนึ่ง เดินเปิดประตูห้องเรียนทุกชั้นและใช้รถเข็นเดินเก็บขยะทุกที่ที่มีอยู่ในโรงเรียน จากการสอบถามคุณครูและนักเรียนทราบว่า หนุ่มพิการดังกล่าวนักเรียนเรียกกันว่าบังหมาด ซึ่งเป็นหนุ่มพิการทางร่างกาย ที่มีบ้านอยู่ไม่ห่างจากโรงเรียนมากนัก ทุกวันบังหมาดจะเข้ามาในโรงเรียนและช่วยทำงานทุกอย่างของโรงเรียน เปรียบเสมือนว่าเป็นภารโรง แต่ไม่มีเงินเดือน ไม่มีสิ่งตอบแทนใดๆ ทำด้วยใจทั้งสิ้น
นายพนมไพร ผอ.รร.ท่าแพผดุงวิทย์ กล่าวว่า บังหมาดมาดูแลช่วยเหลือโรงเรียนแบบจิตอาสาอยู่หลายปีแล้ว ต่อมาก็ได้สังเกตว่าบังหมาดจิตใจดี ขยัน ทำทุกอย่างที่ตนเองทำได้ มาโรงเรียนตั้งแต่ 6 โมงเช้า เปิดประตูห้องเรียนอาคารเรียนต่างๆจากนั้นก็เก็บขยะในโรงเรียน โดยทำแบบนี้ทุกวัน บางทีโรงเรียนมีงานกิจกรรมต่างๆ ก็เข้ามาช่วยเหลือเรื่องจัดเตรียมสถานที่ เสร็จงานก็จะช่วยเก็บกวาดเรียบร้อย โดยที่ไม่มีใครบังคับ จนตอนนี้บังหมาดเปรียบเสมือนบุคลากรคนหนึ่งของโรงเรียน นักเรียนทุกคนเห็นใจและยังให้ความเคารพ
ตนเห็นว่าเขาช่วย รร.มานานแล้ว จึงคุยกับครู ตกลงร่วมกันว่าจะจัดงบของโรงเรียนเป็นค่าตอบแทน เหมือนผู้ช่วยภารโรง โดยมอบเงินตอบแทนให้เดือนละ 3,000 บาทโดยเริ่มจ่ายให้ตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่ผ่านมา เพื่อให้เขาได้เป็นทุนใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและเป็นกำลังใจให้เขาได้ทำความดีต่อไป
ด้านแม่ของบังหมาด กล่าวว่า ตนมีลูก 3 คน บังหมาดเป็นคนที่ 2 อายุ 37 ปี พิการด้านสติปัญญามาตั้งแต่เกิด เนื่องจากเขามีอาการชักตั้งแต่แรกคลอด จนทำให้เดินไม่สะดวก มือแข็ง คอแข็ง พูดไม่ได้เพราะลิ้นไก่สั้น ตั้งแต่เขาเริ่มโตเขาก็ช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่ ไม่ว่าใครทำอะไรเขาก็ไม่นิ่งดูดายเขาช่วยเหลือตลอดจนเป็นที่รักของชาวบ้าน
จุดเริ่มต้นที่เขาเข้าไปช่วยเหลือดูแลโรงเรียน เนื่องจากโรงเรียนอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 500 เมตร เมื่อก่อนเขาจะตามภารโรงของโรงเรียน เพื่อตามไปช่วยงานที่โรงเรียน จนกระทั่งภารโรงดังกล่าวเกษียณอายุไปแล้ว ลูกก็ยังคงไปช่วยเหลือโรงเรียนต่อ ทำแบบนี้มาตลอดเป็นเวลา 17 ปี โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
จนเมื่อประมาณ 4 ปีที่ผ่าน มาทางโรงเรียนได้มีเงินตอบแทน 3,000 บาท เงินที่ได้ส่วนหนึ่งเขาก็นำมาแบ่งให้แม่ อีกส่วนเขาก็เก็บไว้เอง บางทีตนเองก็สงสารลูก เพราะเห็นว่าลูกเหนื่อย อยากให้ลูกได้พัก แต่ทุกวันนี้ก็เห็นเขามีความสุข มีรอยยิ้มก็เลยไม่บังคับ และถือว่าการทำงานจิตอาสาช่วยเหลือสังคมเป็นสิ่งที่ดี ทุกวันนี้ตนภูมิใจกับลูกชายคนนี้มาก
ที่มา : เรื่องเล่าเช้านี้