ครูสาวในอำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวร้องเรียนแท็กถึงเพจ "โหนกระแส" หลังถูก ป.ป.ช. ชี้มูลว่ามีส่วนร่วมทุจริตเงินโรงเรียนจากกรณีเมื่อ 13 ปีก่อน ทั้งที่ระบุว่าตนเพียงเซ็นชื่อในเอกสารตามคำสั่งผู้บริหารโรงเรียน แต่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายเงินหรือถือครองเงินแต่อย่างใด พร้อมวิงวอนขอความช่วยเหลือจากสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะเกรงว่าจะต้องถูกลงโทษทั้งที่ตัวเองเป็นเพียง "เหยื่อ" ของระบบ
โดยข้อความทั้งหมด ระบุว่า
ต้องให้ครูไทยตายเพราะการเป็นเจ้าหน้าที่การเงินอีกกี่คน
ข้าพเจ้า ปัจจุบันเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในอำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อปี 2555 ข้าพเจ้าเป็นครู คศ.1 ที่ไม่มีความรู้และประสบการณ์ด้านการเงินหรือระเบียบพัสดุเลย แต่ได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่การเงินของโรงเรียนอีกแห่งหนึ่งในพื้นที่
แต่ในทางปฏิบัติ ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้เซ็นชื่อร่วมกับผู้อำนวยการในใบเบิกถอนเงินของโรงเรียนเท่านั้น เอกสารการเงินอื่น ๆ ไม่ได้มีส่วนร่วม ข้าพเจ้าเข้าใจเพียงว่า หน้าที่ของเจ้าหน้าที่การเงินคือการเซ็นชื่อในเอกสาร ส่วนกระบวนการอื่น ไม่ว่าจะเป็นการถอนเงินจากธนาคารหรือการจ่ายเงินให้ช่างและร้านค้า เป็นหน้าที่ของผู้อำนวยการทั้งหมด ข้าพเจ้าไม่เคยถือเงินหรือบัญชีของโรงเรียน และไม่ได้เป็นผู้ใช้จ่ายเงินโรงเรียนแต่อย่างใด
จนกระทั่งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาฯ เข้ามาตรวจสอบ เนื่องจากมีการร้องเรียนว่าผู้อำนวยการทุจริตเงินอาหารกลางวัน นำไปสู่การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบความผิดปกติในการเบิกเงินโดยไม่มีคณะจัดซื้อ จากบัญชีเงินอุดหนุนของโรงเรียน มีการสอบสวนหลายครั้ง และในระดับจังหวัด ผู้อำนวยการยอมรับว่านำเงินไปใช้ผิดประเภทจริง พร้อมยินดีชดใช้เงินคืนโรงเรียนจำนวนกว่า 3 แสนบาท
ผู้อำนวยการคนดังกล่าวถูกย้ายไปช่วยราชการ และปัจจุบันดำรงตำแหน่งในพื้นที่จังหวัดอื่น
ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเรื่องดังกล่าวจบลงแล้ว และตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จนกระทั่งวันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 ขณะกำลังเดินทางไปรายงานตัวที่โรงเรียนใหม่ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. โทรมาให้ข้าพเจ้าเดินทางไปพบที่โรงเรียนเดิม มีเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. จังหวัดสุพรรณบุรี มารอพบ
เจ้าหน้าที่สอบถามเรื่องการจ่ายเงินค่าอาหารของโรงเรียน ข้าพเจ้าตอบว่า “ใช้เช็ค” และสอบถามเพิ่มเติมว่าช่วงที่ผู้อำนวยการคนเก่าอยู่ ใช้จ่ายเงินอย่างไร ข้าพเจ้าตอบว่า “ใช้ใบเบิกเงินธนาคาร” จากนั้นพูดคุยอีกเล็กน้อย ก่อนข้าพเจ้ากลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ
ต่อมา เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. เข้ามาสอบสวนอีกครั้ง โดยนำสำเนาใบเบิกเงินมาให้ดู พร้อมถามว่าเป็นลายเซ็นของข้าพเจ้าหรือไม่ ข้าพเจ้าตอบว่า “ใช่” และเล่ารายละเอียดทั้งหมดว่าในช่วงที่ทำหน้าที่การเงิน ข้าพเจ้าเพียงเซ็นชื่อร่วมกับผู้อำนวยการเท่านั้น ส่วนการเบิกจ่ายทั้งหมดเป็นหน้าที่ของผู้อำนวยการ
ต้นเดือนมีนาคม 2566 ป.ป.ช. ส่งหนังสือให้ข้าพเจ้าไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 13 มีนาคม ว่าข้าพเจ้าร่วมกับผู้อำนวยการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการทุจริตเงินโรงเรียนจำนวนกว่า 3 แสนบาท ซึ่งเป็นยอดเงินที่ผู้อำนวยการยอมรับผิดและคืนเงินไปแล้ว
ข้าพเจ้าถูกกล่าวหาว่าร่วมทุจริต ทั้งที่ไม่เคยถือเงินหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายเงินเลย ข้าพเจ้าได้ทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริง ส่งไปยัง ป.ป.ช. สุพรรณบุรี ตามขั้นตอน
ปี 2566 มีการสอบสวนอีกครั้ง ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาฯ ข้าพเจ้ายังคงยืนยันว่าตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เข้าใจว่าถูกเรียกสอบในฐานะพยานในคดีผู้อำนวยการเท่านั้น
จนกระทั่งวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ข้าพเจ้าได้รับหนังสือจากสำนักงานเขตฯ แจ้งว่าถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดว่าร่วมกับผู้อำนวยการทุจริตเงินโรงเรียน ตั้งแต่ตอนเป็นเจ้าหน้าที่การเงินเมื่อ 13 ปีก่อน มีความผิดวินัยร้ายแรง มีโทษปลดออกหรือไล่ออก ต้องดำเนินการภายใน 30 วันก่อนสิ้นเดือนนี้
ข้าพเจ้ายอมรับว่าตัวเองเซ็นชื่อจริง แต่ทำไปเพราะความไม่รู้ ไม่มีประสบการณ์ และทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ข้าพเจ้าไม่เคยทราบข้อกฎหมายมาก่อน และคิดว่าการทำเช่นนั้นเป็นเรื่องถูกต้องในเวลานั้น
ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม เพราะไม่เคยถือเงินหรือใช้จ่ายเงินโรงเรียนเลยแม้แต่น้อย แต่ต้องตกเป็นเหยื่อของระบบและผู้บริหารโรงเรียน
ข้าพเจ้าไม่มีเงินจ้างทนายมาต่อสู้คดี เพราะปัจจุบันมีหน้าที่ดูแลครอบครัวเพียงลำพัง ต้องเลี้ยงดูลูก 2 คน สามีไม่มีอาชีพ มีภาระดูแลพ่อแม่ที่ชราภาพ
ข้าพเจ้าจึงอยากวิงวอนให้หน่วยงานและสังคมช่วยเหลือ ทวงคืนความยุติธรรมให้ข้าพเจ้าด้วย ช่วยแชร์เรื่องนี้ไปถึงผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษาธิการ พี่กัน จอมพลัง พี่หนุ่ม กรรชัย รายการโหนกระแส พี่บุ๋ม ปนัดดา พี่ทนายไพศาล หรือใครก็ได้ ช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้หนูทีค่ะ