รายการโหนกระแสวันนี้ เชิญ อ.เบียร์ คนตื่นธรรม มาพูดคุยอีกครั้ง หลัง อ.ควีน มหาเลียบ หมอดูไพ่ทาโรต์ ออกมาโพสต์คลิปตอบโต้ หลังดูรายการโหนกระแส เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาซึ่ง อ.เบียร์ คนตื่นธรรม พูดคุยในหลากหลายประเด็น แต่ติดค้างคาใจที่ อ.เบียร์บอกว่า ตนเองเคยเป็นหมอดูหลอกเอาเงินคนโง่มาก่อน จึงต้องออกมาปกป้องอาชีพของคนเป็นโหร เป็นนักโหราศาสตร์ ว่าไม่ได้เป็นมิจฉาชีพ ทั้งยังขอร้อง อ.เบียร์ ว่า อย่าไปพูดที่ไหนอีกว่าตัวเองเป็นหมอดู เพราะสิ่งที่คุณเคยเป็นนั้น เรียกว่ามิจฉาชีพ
โดยในรายการวันนี้ มีตัวแทนฝั่งหมอดู 2 คน ก็คือ อ.ควีน มหาเลียบ หมอดูไพ่ทาโรต์ และ อ.โจ ดูแล้วใช่เลย นักโหราศาสตร์ และเจ้าพิธี มาถกประเด็นนี้กับ อ.เบียร์ ซึ่งตั้งแต่เริ่มรายการ บรรยากาศการสนทนาก็ร้อนแรงขึ้นมาทันทีแบบไม่ต้องมีการวอร์มเครื่อง
อาจารย์ควีนบอกว่า ไม่มีปัญหาเรื่องการสอนธรรมของอาจารย์เบียร์ มองว่าเป็นเรื่องดี เห็นด้วย เตือนภัยคนไม่ให้ไปหลงเชื่อพวกที่หลอกลวงคนก็เป็นเรื่องดี แต่สิ่งที่ไม่ชอบคือ การที่บอกว่าตัวเองเคยเป็นหมอดู หลอกลวงเอาเงินคนอื่น แต่คนที่เป็นหมอดูดีๆ หมอดูที่ทำตามวิชาที่ร่ำเรียนมา มีครูบาอาจารย์เขาไม่ทำแบบนี้ คนที่ทำมันคือมิจฉาชีพ
หมอดูเราศึกษาร่ำเรียนวิชาโหราศาสตร์ ดูดวงช่วยคน มันต้องมีการเก็บค่าครู เพราะการดูดวงแบบเป็นส่วนตัว เอาเวลาส่วนตัวของหมอดู ก็ต้องมีค่าใช้จ่าย ถามว่าดูฟรีมีไหม ก็มี แต่ถ้าคนอยากจะดูแบบที่ตรงใจตัวเองก็ต้องมีค่าใช้จ่าย มันเป็นปกติอยู่แล้ว
และอีกอย่างที่ไม่ชอบคือ การไปกล่าวหาว่าคนที่เจอปัญหาคือคนโง่ คนที่เขาประสบปัญหา เขาก็ทุกข์พออยู่แล้ว แต่ก็ยังมาถูกด่าว่าโง่ เขาไม่รู้เราก็บอกให้เขารู้ ไม่เห็นจำเป็นต้องไปด่าเขาว่าโง่
ขณะที่ อาจารย์โจ บอกว่า อีกสิ่งที่เห็นว่าไม่เหมาะสม คือการสอนธรมะแบบหยาบคาย ดุด่ารุนแรง เด็กมาดูบางทีเขายังแยกแยะไม่ได้ เขาก็มองว่าการพูดจาลักษณะนี้มันเป็นเรื่องดี ก็ทำตาม การสั่งสอนธรรมไม่เห็นมีความจำเป็นต้องทำอย่างหยาบคายรุนแรงแบบนี้
อาจารย์เบียร์ ชี้แจงในมุมของตัวเองว่า ที่ตนพูดถึงหมอดู ไม่ได้เจาะจงว่าใครคนใดคนหนึ่ง แต่พูดถึงการทำอาชีพหมอดู คนที่ทำอาชีพนี้ เขามีเจตนาดี หวังให้คนพ้นทุกข์ คนที่มาหาหมอดู เขาต้องการจะพ้นทุกข์ เขามาหาหมอดู เขาหวังใหเป็นที่พึ่ง เชื่อมั่นว่าดูแม่น ดูแล้วดวงไม่ดีก็ต้องแก้ เขาหวังให้หมอดูทำพิธีแก้ให้ สุดท้ายมันก็นำไปสู่การเสียทรัพย์ เสียเงินให้หมอดู เสียเงินให้ทำพิธีแก้กรรมต่างๆ
ส่วนเรื่องการเรียกคนที่หลงเชื่อว่า “โง่” คำว่าโง่คือการขาดปัญญา เมื่อมีทุกข์แล้วต้องหาที่พึ่ง ที่พึ่งตามคำสอนของพระพุทธเจ้าคือ อริยสัจ4 แต่ดันไปหาที่พึ่งผิดๆ คือหาหมอดู เชื่อหมอดู ไปบูชาสิ่งนั้น สิ่งนี้ มันคือการขาดปัญญา
ขณะที่ อาจารย์ควีนบอกว่า การที่กล่าวหาว่า คนที่ไม่เชื่อเหมือนตัวเอง ไม่ได้เชื่อตามธรรมะแบบเดียวกับเรา มันเป็นการงมงาย แล้วที่คุณเชื่อในความเชื่อ ในธรรมะของคุณก็งมงายเหมือนกันหรือไม่ ตนไม่ได้บอกว่าคนพุทธงมงาย แต่อยากให้มองในมุมเดียวกันว่า คนที่ไม่ได้เชื่อเหมือนคุณ มันไม่ได้แปลว่างมงายเสมอไป
อาจารย์เบียร์ตอบกลับว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าคือหลักการของเหตุและผล ทุกสิ่งล้วนอธิบายได้ด้วยเหตุและผล ความทุกข์ทั้งหมด มันล้วนมีเหตุแห่งความเป็นทุกข์ แต่การไปบอกให้เขาไปลงนะหน้าทอง ไปทำพิธีต่างๆ มันสามารถให้เหตุผลได้หรือไม่ ว่าทำแล้วเขาจะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ยังไง ลงนะแล้วดีขึ้นได้เพราะอะไร
คำสอนของพระพุทธเจ้า สอนให้คนมองหาต้นเหตุ ว่าทุกข์แต่ละอย่างเกิดจากอะไร แล้วไปแก้ที่ต้นเหตุ เป็นหนี้ ก็ไปแก้ที่การไม่ก่อหนี้ ไม่ใช่ไปทำพิธี ไปเสียเงินให้หมอดู ให้อาจารย์ต่างๆ แล้วมันจะแก้หนี้ได้อย่างไร คนที่ไปถามหมอดู ที่ตนบอกว่าพวกนี้โง่ ไม่ใช่โง่เพราะขาดความสามารถ แต่เขาไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองผิดพลาดเพราะอะไร
อาจารย์ควีนถามว่า ถ้าอย่างนั้นในเมื่อพระพุทธเจ้าสอนว่าไม่ให้หลอกคน แล้วทำไมเมื่อก่อนอาจารย์เบียร์ถึงไปหลอกคน
อาจารย์เบียร์บอกว่า เจตนาเริ่มต้นไม่ได้อยากจะหลอกคน เป็นหมอดูกเพราะตั้งใจช่วยคน แต่เมื่อหลงผิด เห็นผิด อยากได้ทรัพย์ ก็เรียกเอาเงินจากคน พอศึกษาพระธรรมคำสอน ก็ได้รู้ตัวว่าตัวเองเห็นผิด คิดว่าวิธีการเอาทรัพย์จากคนมันแก้ทุกข์ให้เขาได้ แต่มันไม่จริง เขาก็ยังวิ่งกลับมาหาเรา ให้เราทำพิธียิ่งกว่าเดิม คำถามคือ คนที่ไปทำพิธีต่างๆ ตอนนี้รวยหรือยัง ชีวิตพ้นทุกข์หรือยัง
อาจารย์ควีน ตอบกลับในแง่ของการเรียกเงิน โดยบอกว่า หมอดูก็เป็นวิชาชีพหนึ่ง เขาเรียนโหราศาสตร์มา เป็นที่ปรึกษาของคน เขาก็มีราคา มีค่าตัวของเขา หมอดูจะเรียกราคาเท่าไหร่ มันเป็นสิทธิ์ของเขา แต่คุณจะจ่ายหรือไม่จ่าย มันเป็นสิทธิ์ของคุณ แพงก็ไม่ต้องจ่าย อยากดูฟรีก็มีให้ แต่จะให้ทำงานไม่ได้เงินมันไม่ได้หรอก วิชาชีพเขามี
คนที่มาดูดวงก็คือดูดวง ไม่เคยบังคับให้เขาทำพิธี ส่วนคนมาทำพิธีก็คือมาทำพิธี มันคนละส่วนกัน ไม่เคยบังคับใครทำ คนที่เขาทำเพราะเขาสบายใจ ถ้าเขาทำแล้วตัวเขาสบายใจ ไม่เดือดร้อนใคร แล้วมันผิดตรงไหน
เช่นเดียวกับคอมเมนต์ในไลฟ์ ที่ถามอาจารย์เบียร์ว่า ในเมื่อศาสนาพุทธก็มีพิธีกรรม มีการจุดธูปไหว้อะไรต่างๆ มันก็เป็นพิธีกรรมทางศาสนาเหมือนกัน แล้วจะต่างกับคนที่ไปทำพิธีลงนะ หรือเสริมดวงอย่างไร หากไม่พูดเหมารวม แต่เดินทางสายกลางได้หรือไม่
อาจารย์เบียร์บอกว่า สิ่งที่ถามถึง การไปวัด ไปจุดธูป ไปไหว้ทำพิธีต่างๆ ที่วัด พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า อามิสบูชา หมายถึงการแสดงความเคารพด้วยการให้สิ่งของ เช่น จัดเครื่องสักการะ มีดอกไม้ ธูป เทียน บูชาพระพุทธรูป รูปปั้นหรืออนุสาวรีย์ของบุคคลที่มีคุณต่อสังคม มันก็เป็นการระลึกถึงพระพุทธเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าทำแบบนี้แล้วจะเข้าถึงพระธรรมคำสอนได้ทันที แต่วัดใช้สิ่งเหล่านี้มาดึงดูดคนเข้าวัด ทำนุบำรุงวัด แต่คนไปทำแล้ว สักแต่ว่าทำ ไปยึดติดกับพิธีกรรม แต่ไม่ได้ฟังธรรมสักข้อ เขาก็ไม่มีทางรู้ซึ้งถึงธรรม เขาไม่พ้นทุกข์ ก็ไปหาหมอดู
ในตอนท้าย อาจารย์ควีน บอกว่า ที่ตั้งใจมาวันนี้ พื่อมาชี้ให้คนแยกแยะให้ออก ว่าอันไหนหมอดูจริง อันไหนหมอดูที่เป็นมิจฉาชีพ คนที่เป็นหมอดูจริงๆ เขาจะไม่เดินปรี่เข้ามาทักคุณสุ่มสี่สุ่มห้า เหมือนที่บางคนเจอตามห้าง เดิมาทักว่ามีเคราะห์ มาเรียกเอาเงิน คนที่เขาทำอย่างถูกต้อง ไม่บังคับใคร ใช้วิจารณญาณดูเอา ถ้าเห็นแล้วไม่น่าเชื่อถือ ก็ไม่ต้องไปดู ไม่ต้องไปทำ
ท้ายที่สุด อาจารย์เบียร์ตอบคำถามเรื่อง การใช้คำพูดที่รุนแรงในไลฟ์ มันจำเป็นไหม อาจารย์ตอบว่า เรื่องการใช้คำพูดที่รุนแรง ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนไม่ได้ อาจารย์เบาลงได้ ไม่ใช่ปัญหา แต่เราก็ต้องพูดตามหลักสัจจะความจริง และอาศัยการกระแทก ให้คนเข้าใจสัจจะความจริงให้เร็วที่สุด หลังจากนี้อาจารย์ก็จะสำรวมระวังให้มากขึ้น