มหากาพย์มรดก 100 ล้าน "ป้าสาวิตรี" ยันไม่สนมรดก แค่ห่วงสุขภาพน้อง แต่ให้น้องเซ็นสละมรดกแล้ว

รายการโหนกระแสวันนี้ พูดคุยกรณี มรดก 100 ล้าน เมื่อ “สาวิตรี” พี่สาวบุกพาตัวน้องชายที่ป่วยไปจากบ้าน พรากไปจากลูกและภรรยา อ้างว่าครอบครัวของน้องชายดูแลไม่ดี จะปล่อยให้น้องชายตนทรุดลงไปเรื่อยๆ แต่ทาง “นุช” ฝ่ายภรรยา ยืนยันว่าครอบครัวอยู่กันปกติสุข ไม่เคยทำอันตรายอะไรสามี แต่พี่สาวของสามี บุกมาก่อกวน ปั่นป่วน เพราะปัญหาอยากฮุบมรดกของพี่สาวคนโต ที่เป็นส่วนของสามีตน

คุณนุช ไปร้องเรียนกับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษา รมว.มหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด พร้อมเล่าปมเหตุที่สามี ชื่อ นายวิสิทธิ์ โดนลักพาตัวไปว่าน่าจะมาจากเรื่องมรดก เนื่องจากครอบครัวฝั่งสามีมีพี่น้อง 8 คน เสียชีวิตไป 3 คน มรดกก้อนใหญ่เป็นของพี่สาวคนโต ที่ดูแลมรดกที่ดินมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท

ก่อนพี่สาวคนโตจะเสียชีวิต ได้แต่งตั้ง คุณวิสิทธิ์ สามีของคุณนุช ซึ่งเป็นน้องชายคนสุดท้องให้ดูแลที่ดินมรดกแทน ทำให้พี่สาวคนรองคือ คุณสาวิตรี พยายามพูดจาหว่านล้อมให้สามียกมรดกให้ และทำให้ครอบครัวต้องทะเลาะเบาะแว้งกัน บางครั้งก็เข้ามาอาละวาดภายในบ้าน กล่าวหาว่าตนไปทำร้ายจนเป็นเรื่องฟ้องร้องกัน 

ต่อมาช่วงธันวาคม 66 คุณวิสิทธิ์ล้มป่วยด้วยอาการหลอดเลือดในสมองตีบ หมอลงความเห็นว่า “มีอาการด้านความจำระยะสั้น และมีปัญหาเรื่องสมาธิบ้าง แต่ยังมีความสามารถในการตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง”  

ปรากฏว่านางสาวิตรีไปแจ้งถอดถอนคุณวิสิทธิ์ และพี่น้องอีก 2 คนให้พ้นจากการเป็นผู้จัดการมรดก ให้เหลือแต่ตัวเขาคนเดียว 

ซึ่งในประเด็นนี้ ทนายแก้วมองว่า คุณวิสิทธิ์ถือเป็น “บุคคลเป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถ” คือมีปัญหาในเรื่องสติปัญญาบางส่วน แต่ไม่ได้แปลว่าต้องหมดสิทธิ์ต่างในทางกฎหมาย ต้องไปต่อสู้ข้อเท็จจริงกันในศาล

เหตุการณ์มาบานปลายเมื่อ วันที่ 28 มิ.ย. ที่ผ่านมา ตนได้ไปขึ้นศาลคดีที่คุณสาวิตรีฟ้องว่าตนไปทำร้ายร่างกาย พอตนกลับมาจากศาลพบว่าสามีหายตัวไป ถามจากเพื่อนข้างบ้านถึงรู้ว่าคุณสาวิตรีจ้างรถแท็กซี่มาพาตัวสามีออกไปจากบ้าน ตนจึงตามไปหาที่บ้านใน จ.สมุทรปราการ แต่ก็ไม่ได้พบ พอแจ้งความตำรวจก็บอกว่าเป็นเรื่องของครอบครัว ให้ลองไปคุยกันก่อน

กระทั่งวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา เป็นวันที่สามีและพี่สาวสามีต้องไปขึ้นศาลในคดีฟ้องร้องเรื่องมรดก แต่ก็ไม่มีใครไปที่ศาล ตนจึงตามไปที่บ้านพี่สาวสามี แต่ก็เกิดเหตุการร์ตามในคลิป คือเอาญาติมาเฝ้าสามี ล็อกประตูเหล็ก ไม่ยอมให้พวกตนเข้า ไม่ให้เจอหน้า 

ปมทั้งหมดที่เขาทำ คือเขาต้องการไล่ตนกับลูกออกจากบ้าน หวังจะฮุบเอามรดกในส่วนของสามีตนไว้เอง และเมื่อพวกตนไม่ยอม เขาก็ยังเคยขู่ว่าจะเข้ามาทำให้พวกตนอยู่กันไม่ได้ ก็คือเหตุการณ์เหล่านี้นั่นเอง

ด้าน คุณสาวิตรี ยืนยันว่า เรื่องที่น้องสะใภ้พูดทั้งหมด ไม่เป็นความจริง ตนไม่คิดอยากได้มรดก แต่ที่ต้องทำไปทั้งหมด เพราะเป็นห่วงน้องชาย เชื่อว่าภรรยาและลูก ไม่ยอมดูแลวิสิทธิ์ให้ดี หากปล่อยไว้ต้องเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต แน่นอน

เมื่อเดือน พ.ค. ตนไปเยี่ยมน้องชายที่บ้าน แต่พบว่าน้องชายป่วย และความเป็นอยู่ไม่ดี อาหารที่ให้กินก็เป็นโจ๊กที่ซื้อมาให้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และวิสิทธิ์ก็ยังถูกภรรยาและลูก 2 คน ทำร้ายร่างกาย เพราะตนเคยเห็นบาดแผลคล้ายรอยเล็บบริเวณหลังของน้องชาย จึงตัดสินใจพาน้องออกมาอยู่ด้วย เพื่อการดูแลที่ดีกว่า ให้น้องมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น

ส่วนปัญหาเรื่องมรดก 100 ล้านนั้น ยืนยันว่า เกิดจากน้องสะใภ้ที่มีความคิดหวังฮุบสมบัติ ในบรรดา 5 พี่น้องที่ยังอยู่ไม่เคยมีใครพูดเรื่องมรดกเลย และไม่เคยบังคับให้เซ็นเอกสารอะไร มรดกทั้งหมดยังไม่ได้มีการจัดการหรือแบ่งให้ใคร เพราะเพิ่งได้หนังสือรับรองแต่งตั้งผู้จัดการมรดก โดยทายาททั้งหมดรวมถึงน้องชายได้เป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน

ต่อมาทางฝ่ายคุณนุช และแบงค์ ลูกชายของนายวิสิทธิ์ บอกว่า คุณสาวิตรีไม่ยอมให้คนเรียกว่า “ป้าหยก” เพราะหากเอาชื่อ “ป้าหยก” ไปเซิร์ชในกูเกิล จะเจอข่าวเก่าของเขาเมื่อปี 2565 คดี “ป้าหยกโยนขยะ” คือเคยมีปัญหากับเพื่อนบ้าน เอาขยะไปสาดหน้าบ้านคนอื่น เคยเป็นข่าวดังขึ้นมา

นอกจากนี้ยังมีคลิปต่างๆ ที่ป้าสาวิตรีจ้างคนนั้นคนนี้ พามาที่บ้าน บุกเข้าไปในบ้านของคุณสาวิตรี อ้างว่าจะเอาตัวคุณวิสิทธิ์ไปหาหมอ บอกว่าหมอมีนัด โดยในแต่ละคลิป จะเห็นว่าคุณสาวิตรีพาคนนั้นคนนี้แอบเข้าไปในบ้าน แล้วจะพาตัวนายวิสิทธิ์ออกจากบ้าน แต่คุณนุชมาเจอก่อน และด่ากราด ถามว่ามายุ่งวุ่นวายอะไร มันไม่ใช่วัดหมอนัด มายุ่งวุ่นวายอะไรกับครอบครัวคนอื่นขนาดนี้

ขณะที่ทนายแก้ว ให้ความรู้ทางกฎหมายว่า ในเรื่องทั้งหมดนี้ ป้าสาวิตรีไม่มีสิทธิ์ใดๆ จะมาอ้างว่าตึกที่ครอบครัวคุณนุชอาศัยอยู่ เป็นสิทธิ์ของป้าไม่ได้ จะบอกว่าไปวางเงินค้ำ ไปกู้หนี้ อะไรต่างๆ นานา มันไม่ใช่ สิทธิ์ในการอยู่อาศัยมันเป็นของคุณนุชและและครอบครัวอย่างชอบธรรม การที่ป้าบุกเข้าไป มันเป็นความผิดฐานบุกรุก ผิดโดยสำเร็จแล้ว

แล้วการจะเอาตัวน้องชายไป จะโอนสิทธิ์ โอนที่ดิน มรดกอะไรต่างๆ นานา มันทำไม่ได้ มันต้องให้ผู้จัดการมรดกมารวมตัวประชุมครอบครัวกัน ไม่มีสิทธิ์จะทำอะไรโดยพลการทั้งสิ้น 

แนะนำให้คุณนุชและแบงค์ ไปยื่นต่อศาล ให้คุณพ่อเป็นบุคคลไร้ความสามารถ เพื่อให้ภรรยาหรือลูก มาเป็นผู้จัดการมรดกแทน ไม่อย่างนั้นปัญหามันก็จะไม่จบ คุณนุชและแบงค์ควรเข้ามามีส่วนร่วมในฐานะผู้จัดการมรดกแทนคุณวิสิทธิ์

ขณะที่คุณรุ่งโรจน์ พี่ชายอีกคนของคุณวิสิทธิ์ และเป็นน้องชายของคุณสาวิตรี โฟนอินเข้ามาบอกว่า ตนก็เป็นคนกลาง ยืนยันว่าคุณสาวิตรีห่วงน้องชายจริงๆ แต่ทางภรรยาและลูกเขาก็มีสิทธิ์โดยชอบธรรม เรื่องนี้ตนก็พูดยาก ต้องถามคุณวิสิทธิ์ว่าอยากอยู่กับใคร

ขณะที่ทนายแก้วบอกว่า ถามง่ายๆ แบบนั้นไม่ได้ เพราะคุณวิสิทธิ์มีอาการป่วย ต้องไปร้องต่อศาล ว่าใครจะได้สิทธิ์ดูแลตามกฎหมาย

ล่าสุดมีรายงานว่า ป้าสาวิตรีได้ให้นายวิสิทธิ์เซ็นสละทรัพย์มรดกไปแล้ว เมื่อถามว่าให้เซ็นจริงไหม ป้าตอบว่า จริง เพราะต้องดูแลน้องชายก็ต้องใช้เงิน แต่ที่ให้เซ็นไม่ใช่ว่าเซ็นให้ยกมรดกให้เรา ให้สละไว้เป็นกองกลาง

ขณะที่ทางทนายแก้วบอกว่า กองกลางหรือไม่กองกลางมันไม่เกี่ยว การให้เซ็นลักษณะนี้ มันเป็นการให้เขารับสภาพว่า จะไม่รับสิทธิ์ใดๆ ในมรดกทั้งสิ้น ซึ่งมันไม่ได้

พ.ต.อ.อุเทน ตั้งพิทักษ์เสมอ ผกก.บางขุนนนท์ โฟนอินเข้ามาบอกว่า คุณป้าสาวิตรีเป็นคนที่ตำรวจทั้งโรงพักจะรู้จักเป็นอย่างดี เชื่อว่ารู้จักกันทุกนาย เพราะคุณป้ามาแจ้งเหตุบ่อยมากๆ มาร้องว่าภรรยาไม่ดูแลน้องชาย ไม่พาไปรักษาพยาบาล แต่ทางภรรยาเขาก็พาไปตามปกตินะครับ บางครั้งเราก็ให้ตำรวจของเราไปด้วย ไปพิสูจน์ว่ามีการพาไปจริง ซึ่งเขาก็ดูแลเป็นปกติ ไม่ได้มีอะไร