พ่อวัย 71 ขี่รถไปรับหลาน ถูกรถยนต์ชนเสียชีวิต ตำรวจตีว่าพ่อผิดฝ่ายเดียว ประกันไม่จ่าย แถมตำรวจพูดมาได้ “นี่ล่ะคนแก่ ตายง่าย นิดเดียวก็ตายแล้ว”

รายการโหนกระแสวันนี้ พูดคุยกันกรณี ครอบครัวร้องขอความเป็นธรรม หลังพ่อลูกถูกครูคนหนึ่ง ขับรถเก๋งชนจนเสียชีวิต แต่ตำรวจชี้ว่า คุณพ่อที่เสียชีวิตเป็นฝ่ายผิด

คุณตัง อายุ 33 ปี ลูกชายคนเล็กของผู้เสียชีวิต เล่าเหตุการณ์ว่า เมื่อวันที่ 24 ม.ค. 68 พ่อของตน นายอายุ 71 ปี ขี่รถจักรยานยนต์ออกจากบ้านเพื่อไปรับหลานสาววัย 5 ขวบ ซึ่งเป็นลูกของคุณตัง พี่ชายของคุณตัง และเป็นลูกชายคนโตของผู้เสียชีวิต โดยใช้เส้นทางถนนเลี่ยงเมืองกาญจนบุรี บริเวณหน้าสถานธนานุบาล ต.ปากแพรก อ.เมืองกาญจนบุรี

ขณะกำลังขี่รถในเลนขวาเพื่อเตรียมกลับรถ ได้ถูกรถเก๋งซึ่งขับโดยครูหนุ่มของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งพุ่งชนท้ายอย่างแรง จนร่างคุณพ่อกระเด็นกระแทกพื้นเสียชีวิตคาที่ ส่วนหลานสาววัย 5 ขวบ กระเด็นเข้าเกาะกลางถนน ได้รับบาดเจ็บสาหัส เย็บเกือบ 60 เข็ม กรามแตก ฟันหน้าหักหมด 

วันที่เกิดเหตุ ได้เจอคู่กรณี วันแรกที่เกิดเหตุการณ์ เขามายกมือไหว้ มาขอโทษ บอกว่าเขามองไม่เห็น หลังจากนั้นไม่กี่วันต่อมา เขาก็ขอมาเยี่ยมหลานสาวที่อยู่ที่ รพ. เอาน้ำมา 1 แพ็ก ผลไม้ 1 ถุง มาถึงก็มายื่นเงิน 500 บาทให้แม่เด็ก(ภรรยาคุณตัง) แต่แม่ไม่รับ โดยทุกอย่างที่เขาทำ จะมีคนที่ถ่ายรูปเก็บไว้หมด มาทราบภายหลังว่า เขาเป็นลูกของนักการเมือง (สท.) ในท้องที่

คุณตังเผยว่า ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ตนและครอบครัวไม่เคยได้เห็นสำนวนสอบสวนเลย โดยเจ้าหน้าที่บอกเพียงให้ไปดูที่อัยการโดยตรง ทั้งที่ในวันเกิดเหตุตนได้พูดคุยกับคนขับรถเก๋ง ซึ่งยอมรับว่าเป็นฝ่ายผิด อ้างว่าไม่ทันเห็นรถจักรยานยนต์ที่อยู่ข้างหน้า และกล่าวขอโทษพร้อมแสดงความเสียใจ

หลังเกิดเหตุผ่านไปหลายเดือน พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีสรุปสำนวนส่งอัยการ โดยชี้ว่าคุณพ่อเป็นฝ่ายผิด ขับขี่โดยประมาทจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต กลายเป็นจำเลยในคดี สร้างความเคลือบแคลงใจให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตอย่างมาก

ก่อนหมดเวลาออกอากาศทางทีวี ทนายแก้วได้อ่านข้อความจาก “ท่าน ท่านหนึ่ง” ผู้มีความรู้รอบทางกฎหมาย ส่งข้อความมาหาทนายแก้ว ระบุว่า จากภาพที่ปรากฏทั้งภาพนิ่ง และคลิปวงจรปิด ทำให้เห็นได้ว่า จักรยานยนต์ไม่ได้ปาดหน้าอย่างกระชั้นชิด แต่เป็นการพุ่งมาชนจากด้านหลังท้าย ส่วน พ.ร.บ.จรจรก็กำหนดชัดว่า รถที่ขับผ่านทางร่วม ทางแยก ต้องชะลอความเร็วลง การที่ตำรวจส่งสำนวนไปว่า จักรยานยนต์เป็นฝ่ายผิด อาจผิด ม.157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ญาติผู้เสียชีวิตยังเล่าอีกว่า วันที่ตำรวจเรียกเข้าไป เพื่อสรุปสำนวนคดี ตำรวจพูดว่า พ่อเราเป็นฝ่ายประมาทฝ่ายเดียว ไม่ให้เราแย้งอะไรเลย ถ้าจะแย้ง ให้ไปแย้งที่อัยการ 

ตำรวจเขาบอกว่า ‘เนี่ยคนแก่ โดนชนนิดเดียวก็ตายแล้ว แค่กระจกตบหัวนิดเดียวก็ตายแล้ว แล้วเขาก็เปิดคลิปให้ดู ว่า เนี่ยเห็นไหม ตายเพราะแก่ คนแก่ตายง่าย ผมทำมาหลายคดีแล้ว’ 

คุณตัง ลูกชายผู้เสียชีวิต ถึงกับบอกว่า ถ้าเกิดขึ้นกับครอบครัวเขา จะรู้สึกยังไง พ่อคุณตำรวจไม่แก่บ้าง ก็ให้มันรู้ไป

ตำรวจยังบอกอีกว่า เรื่องความเร็วอะไรต่างๆ ไม่ต้องเอามาคิดเลย เพราะเขาอยู่ในเลนขวา ในเลนของเขา เขาไม่มีหน้าที่ต้องดูว่าใครจะปาดเข้ามาในเลนตัวเองบ้าง การที่พ่อเราปาดเข้าไป มันผิดอยู่แล้ว

แล้วพอญาติไปตามหากล้องวงจรปิดกันเอง แทนที่จะเป็นหน้าที่ตำรวจ กลับพบว่า พ่อค้าแม่ค้า ร้านที่อยู่แถวนั้น เขาบอกว่า ตำรวจมาสั่งไว้ว่า ห้ามให้กล้องวงจรปิดกับใคร

สุดท้ายสำนวนคดีก็ไม่ได้เห็น จนต้องไปตามหาเอาจากอัยการเอง จนเจอว่า พ่อเราถูกระบุในสำนวนในฐานะ ผู้ต้องหา ซึ่งทางทนายแก้ว มองว่า การที่ทำแบบนี้ อาจเป็นเพราะตำรวจมองว่า ถ้าคดีอาญา ผู้ต้องหาเสียชีวิตไปแล้ว การดำเนินคดีก็จะหยุดลง อาจจะคิดว่ามันจะง่ายๆไปแบบนั้น

แต่สุดท้ายทางอัยการยังไม่ได้สรุปสำนวนคดี การที่พยานหลักฐานปรากฏชัดแบบนี้ อัยการอาจส่งสำนวนกลับมาให้ทำการสอบสวนใหม่ก็เป็นไปได้

ในส่วนของประกันภัย ทางรถของคู่กรณีมีประกันชั้น 1 แต่พอทางคนขับไม่ยอมรับผิด มันทำให้ทางประกันยังจ่ายไม่ได้ ในส่วนของ คปภ.ที่มาร่วมรายการวันนี้ ก็ได้พิจารณาแล้ว ว่ารถเก๋งมาด้วยความเร็ว ไม่ยอมเบรกรถเลยแม้กระทั่งตอนชน แล้วเหตุเกิดตอนกลางวัน มองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน 

เหตุการณ์นี้เกิดจากความประมาทของฝ่ายรถยนต์แต่ฝ่ายเดียวชัดเจน และต่อให้คนขับไม่ถือใบขับขี่ ก็ไม่เกี่ยวว่าประกันจะจ่ายหรือไม่จ่าย มีหรือไม่มีใบขับขี่ประกันก็ต้องจ่าย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ทางผู้ขับขี่ไม่ยอมรับผิด เมื่อไม่ยอมรับผิดประกันก็จ่ายไม่ได้ เรื่องเหล่านี้จะไม่เกิดเลย ถ้าคนขับรับสารภาพ แล้วตำรวจแจ้งข้อหา ประกันก็ไปดำเนินการจ่ายเต็มทุนประกัน ดังนั้นต้องรอทางอัยการ ว่าจะเอายังไงกับสำนวนคดีนี้ต่อไป

ขณะที่ คนขับรถเก๋ง ให้สัมภาษณ์กล่าวว่า รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพยายามเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิต ทั้งไปร่วมงานศพ และเยี่ยมน้องวัย 5 ขวบที่โรงพยาบาล แต่เรื่องเงินเยียวยายังตกลงกันไม่ได้ โดยตนเสนอจ่ายเบื้องต้น 10,000 บาท จากนั้นขอผ่อนจ่าย เนื่องจากไม่มีเงินก้อน

เจ้าตัว ยืนยันว่าผู้เสียชีวิตเปลี่ยนเลนจริง และปฏิเสธว่าตนไม่มีส่วนแทรกแซงคดี แม้พ่อของตนจะเป็นนักการเมืองท้องถิ่นก็ตาม พร้อมระบุว่าไม่รู้จักกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีแต่อย่างใด

ด้านพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ระบุว่า สรุปสำนวนตามพยานหลักฐานที่มี ซึ่งมีมากกว่าที่ครอบครัวผู้เสียชีวิตได้เห็น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอความเห็นจากอัยการว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่