จากกรณี ชาย อายุ 50 ปี ชาวบ้านโนนแดง ต.หนองกะทิง อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ที่ก่อเหตุขโมยลูกชิ้นยืนกิน ของร้านจำหน่ายลูกชิ้นไปคิดเป็นมูลค่าประมาณ 300 บาท ก่อนจะถูกตำรวจ สภ.เมืองบุรีรัมย์ จับกุมแล้วตั้งข้อหาลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะ
จนกระทั่งเรื่องบานปลายในโลกโซเชียล มีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยที่ทรัพย์สินเพียง 300 บาท กลับถูกแจ้งความดำเนินคดีโทษหนัก ซึ่งมีอัตราโทษรวมกันแล้วถึง 7 ปี 6 เดือน และเป็นอาญาแผ่นดินยอมความไม่ได้ โดยเฉพาะแรงจูงใจที่ต้องขโมยลูกชิ้น เพราะต้องการเอาไปเลี้ยงครอบครัวที่อดอยาก และเอาไปให้พ่อแม่ที่ป่วยติดเตียงที่ อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์
หนึ่งในคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ กลับเป็นเจ้าของร้านลูกชิ้น ที่ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ว่า ใจร้าย ใจดำ และหลายคนยังบอกว่า จะไม่ไปอุดหนุน
ล่าสุด หญิงเจ้าของร้านลูกชิ้น และเป็นผู้เสียหาย ก็ได้ออกมาเปิดใจและชี้แจงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า เหตุการณ์ถูกขโมยลูกชิ้น เกิดขึ้นเวลาประมาณ 21.39 น.ของวันที่ 24 พ.ค.67 ที่ถูกขโมยไป เป็นลูกชิ้นที่ลูกค้าสั่งซื้อไว้ 2 ถุง และจ่ายเงินให้กับทางร้านแล้ว
โดยทางร้านได้วางถุงลูกชิ้นไว้ให้ลูกค้าบนโต๊ะหน้าร้าน เพราะลูกค้าจะมารับ เพื่อนำไปทอดขายตอนกลางคืน แต่ตอนที่ลูกค้ามารับ เหลือลูกชิ้นแค่ถุงเดียว จึงติดต่อมาหาทางร้าน เมื่อเปิดกล้องดูก็พบว่ามีผู้ชายคนหนึ่ง ขี่ จยย.มาขโมยไป
ต่อมาวันที่ 25 พ.ค.67 ก็นำหลักฐานไปแจ้งความที่ สภ.เมืองบุรีรัมย์ ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้รู้เลยว่าผู้ก่อเหตุเป็นใคร ฐานะอย่างไร
กระทั่งช่วงบ่ายวันที่ 25 ก.ค. ตำรวจชุดสืบสวนแจ้งว่าสามารถจับกุมตัวคนที่ขโมยลูกชิ้นได้แล้ว ให้ตนไปชี้ตัวที่โรงพัก ซึ่งตำรวจชุดสืบก็ยังบอกกับตนเองว่าตอนไปจับกุมเห็นสภาพบ้านของผู้ก่อเหตุยากจนมาก พร้อมกับเอารูปถ่ายให้ดูด้วย
แต่ตอนนั้นยังไม่ได้เจอตัวผู้ก่อเหตุ กระทั่งตำรวจนำตัวผู้ก่อเหตุมาถึงโรงพัก ก็ติดต่อให้ตนไปชี้ตัวผู้ต้องหาอีกครั้ง พอตนเห็นสภาพผู้ก่อเหตุก็รู้สึกสงสารไม่อยากเอาเรื่อง พอกลับมาถึงบ้านร้อยเวรฯ ก็ยังโทรศัพท์มาสอบถามว่าจะดำเนินการอย่างไร ตนก็แจ้งกับร้อยเวรฯ ไปว่าขอถอนแจ้งความเพราะสงสารไม่อยากเอาเรื่อง ก็คิดว่าไม่มีอะไรแล้ว แต่ต่อมาสักพักร้อยเวรฯ โทรมาแจ้งว่าผู้บังคับบัญชาบอกว่าถอนแจ้งความไม่ได้เพราะเป็นคดีอาญาแผ่นดิน และเกรงจะไปก่อเหตุอีก ตำรวจก็จะโดนฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ด้วย ดังนั้นทางตำรวจจึงต้องดำเนินการไปตามขั้นตอน
กระทั่งมีการออกข่าวล่าสุดว่าตำรวจนำสำนวนและผู้ต้องหาส่งอัยการ โดยที่ไม่มีข้อมูลของทางร้านเลย นำเสนอแค่ฝ่ายเดียว ทำให้ร้านโดนทัวร์ลงกระทบกับการค้าขายและสภาพจิตใจ ทั้งที่เป็นผู้เสียหาย จึงอยากให้สื่อนำเสนอให้รอบด้าน และฝากถึงโซเชียลให้ฟังทุกฝ่ายก่อนเม้นท์ ก็ขอให้เห็นใจทางร้านด้วย เพราะการค้าขายก็มีต้นทุน แต่ที่ผ่านมาก็ร่วมกับญาติพี่น้องตอบแทนสังคม ด้วยการจัดโรงทานเลี้ยงผู้ยากไร้เป็นประจำทุกปี