ดิ ไอคอน EP.4 อดีตผู้บริหารแฉแหลก พิธีรำลึกบุณคุณ ถือดอกมะลิไปกราบ-กับเรื่องของบอสอยากกินส้ม พร้อมคลายปม “เทวดา สคบ.”
คุณขวัญ อดีตแม่ทีม ที่ออกจากดิ ไอคอน มานาน 5 ปีแล้ว เล่าว่า เคยไปทำ มีลูกทีม 20 กว่าคน แต่ของขายไม่ได้เลย เราลองทำทุกวิธี จัดบูทยิ่งใหญ่ จ้างพริตตี้มา แต่สินค้าขายไม่ได้ ทำทุกวิธีในทางการตลาดแล้ว แต่ก็ยังขายไม่ได้ จนเชื่อว่าสินค้ามันไม่มีคุณภาพจริง
ช่วงแรกที่ตัดสินใจมาทำ เพราะเห็นว่า ลีเดีย ศรันย์รัชต์ มาเป็นพรีเซนเตอร์ เรารู้ว่าเขารับงานพรีเซนเตอร์ยากมาก เห็นว่ามารับสินค้านี้ก็เลยค่อนข้างมั่นใจ ช่วงแรกก็ปิดยอดได้จริง เราเป็นกลุ่มแรกๆ ที่เข้ามา บอสพอลเขาก็ให้คำมั่นว่า เราเป็นตัวแทนกลุ่มแรก กลุ่มเดนตาย ยังไงก็จะไม่ทิ้งเรา เพราะเราเป็นกลุ่มที่ฝ่าฟันมาด้วยกัน
คุณขวัญไม่ขอเปิดเผยว่าเป็นลูกทีมบอสคนไหน แต่ยังเชื่อว่าบอสของเราเป็นผู้เสียหายเหมือนกัน แต่ตอนนี้พอเห็นความจริงมากขึ้นก็เริ่มคิดว่า อาจไม่ใช่แบบนั้นแล้ว สินค้าของเขา เขาให้คำมั่นว่า สินค้าเราแมสแน่ ต่อให้กำไรต่อชิ้นมันไม่เยอะ แต่ถ้าขายได้ปริมาณมากๆ มันก็ยังน่าขาย แต่สุดท้ายขายไม่ได้จริงๆ แล้วยังมีการขายแม่ข่าย ขยายเครือข่าย ชักชวนคนนั้นคนนี้มาทำ ปี 2562 ก็เลยเลิกขาย ไม่เอาแล้ว
ฟางเส้นสุดท้ายคือ เราไปเจอว่า เขาเอาสินค้าคอลลาเจนลอตใหญ่ ไปเก็บไว้ที่ที่หนึ่ง ใกล้บ้านเรา เอาไปกองเตรียมจะทำลายโดยการเทให้ปลากิน ตอนนั้นเราตกใจมาก เพราะสินค้าคอลลาเจนมันอยู่ที่บ้านเราอีกลอตใหญ่ การเอาสินค้ามารอทำลายทิ้ง แทให้ปลากินแบบนี้ แล้วเราจะขายได้ยังไง ส่งรูปนี้ไปถามบอสพอล ขอคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น ผ่านมาถึงวันนี้ 5 ปีแล้ว ยังไม่ได้คำตอบเลย
คุณขวัญยังบอกอีกว่า ที่บอสพอลมาออกรายการร้องห่มร้องไห้ เราดูแล้วรู้สึกเฉยๆ เพราะเวลาเขาขึ้นเวที พูดบิวท์อารมณ์แม่ข่าย เขาจะร้องไห้ทุกครั้งอยู่แล้ว แต่เราไม่ซื้อไอเดียนี้ เราไม่อิน จะให้เราไปบิวท์คนอื่น เราก็ทำไม่ได้
ขณะที่ “คุณเอ” อดีตผู้บริหารของ ดิ ไอคอน เคยไปร่วมการประชุม การสัมมนาใหญ่ต่างๆ ของบริษัท เล่าถึงพื้นฐานของบอสพอล ว่าเขาเป็นคนที่มีวาทศิลป์ มีศิลปะและจิตวิทยาในการโน้มน้าวใจคนมากๆ
หนึ่งในสิ่งที่แม่ข่ายทุกคนต้องเคยฟัง ก็คือเรื่องราวชีวิตของบอสพอล ที่เขาจะขึ้นไปเล่าบนเวทีทุกครั้ง เรื่องของลูกกรรมกร ที่อยากกินส้ม เวลาแม่ทำงานได้เงินมา นายจ้างจะหักหนี้ แล้วโยนเศษเงินที่เหลือให้ พอแม่ได้เงินมา พาลูกเดินไปตลาดก็ต้องรีบเดิน เพราะติดหนี้คนในตลาด บอสพอลในวัยเด็ก ร้องไห้อยากกินส้ม แต่แม่ซื้อให้กินไม่ได้ แค่ส้มลูกเดียวยังกินไม่ได้ สุดท้ายจึงเป็นแรงบันดาลใจให้เขามาประสบความสำเร็จถึงทุกวันนี้
เรื่องนี้เวลาที่บรรดาตัวแทน ดีลเลอร์ แม่ข่าย ได้ฟังก็จะร้องห่มร้องไห้ และได้แรงบันดาลใจ ควักเงินซื้อ เปิดบิล กับเขาทุกครั้ง ในการจัดอีเวนต์ต่างๆ เขาก็จะมีพิธีรำลึกบุญคุณ มีทีมงานเอาดอกมะลิมาใส่มือ เปิดเพลงพระคุณที่สาม ขอบคุณคนที่สอนเรื่องราวต่างๆ ทำให้เขาประสบความสำเร็จ มีเงินมีทอง เหมือนได้ชีวิตใหม่ ถึงขั้นที่ให้แม่ข่ายไปก้มกราบเท้าบอสพอลบนเวที
แล้วยังมีคำพูดปลุกใจสารพัด อาทิ “อย่าสงสัย อย่าถาม ทำลูกเดียว” , “อยากสำเร็จเหมือน ต้องทำเหมือน” คนที่ขึ้นไปพูดเรื่องความสำเร็จ ก็เป็นดีลเลอร์ เพราะฉะนั้นอยากทำได้แบบเขา ก็ต้องสมัครดีลเลอร์แบบเขา เพราะ “อยากได้ต้องแลก”
แล้วยังมีเรื่องการ “ถีบลงบ่อจระเข้” ถ้าบอกว่าขายไม่ได้ ลงทุนไปแล้วเงินจม ขายไม่ได้ มันเหมือนกันถูกถีบลงบ่อจจระเข้ คนที่ผ่านมาได้ รอดมาได้ ก็จะเป็นเพชร คนไม่รอด ก็คือคนที่ไม่มีความสารถ ก็จะถูกคัดสรรให้หายไป
ตัวการสำคัญที่ทำให้คนเชื่อมั่น ก็มีทั้งเรื่องเล่าชีวิตความประสบความสำเร็จของบรรดาบอส รวมทั้งเรื่อง ดารา คนดัง ที่เข้าไปร่วมกับเขา คนส่วนใหญ่เห็นดาราคนดังขนาดนั้นไปร่วมมือกับเขา ก็ต้องเชื่อมั่นว่าเขาทำได้จริงๆ แล้วบรรดาแม่ข่ายก็ยังมีทั้ง ตำรวจ หมอ อัยการ อาชีพใหญ่ๆ ทั้งนั้น แล้วยังมีเรื่องการรับโล่รางวัลจาก สคบ. ก็ยิ่งทำให้คนมั่นใจว่าธุรกิจนี้มันถูกต้องตามกฎหมายแน่ๆ
ขณะที่ วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ กางข้อกฎหมาย มาตรา 19 ของพระราชบัญญัติ ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 ห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจขายตรงและผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงดำเนินกิจการในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจขายตรงหรือในการประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง โดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าวซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น
ซึ่งการที่จะบอกว่า บอสพอลร้องห่มร้องไห้ หรือเล่าเรื่องราวซึ้งใจอะไรต่างๆ มันไม่ใช่เรื่องผิด แต่สิ่งที่จะผิด ก็เป็นเพราะมันทำไปเพื่อการโน้มน้าว ให้คนมาร่วมเป็นแม่ข่าย มันผิด ม.19 การตลาดแบบตรงแน่นอน
ส่วนเรื่องคลิปเสียง เทวดาใน สคบ. รวมทั้งคลิปใหม่ ที่บอกว่าจะมีการเลือก เลขาฯ สคบ.คนใหม่ ที่จะเดินตามหลังเราเหมือน “ขี้” โดยในคลิปหลายๆ คลิปที่ปล่อยออกมา เป็นเสียงคนๆ เดียวกัน และมีการพาดพิงไปถึง อดีตรองเลขาธิการสคบ. คือท่าน พ.ต.อ.ประทีป เจริญกัลป์
พ.ต.อ.ประทีป เจริญกัลป์ ยืนยันว่า คนชื่อประทีป ใน สคบ. มีคนเดียวก็คือตน แต่ยืนยันว่า “ผมไม่ใช่เทวดา” ตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับการควบุมดูแลธุรกิจขายตรงมานานมากแล้ว แต่เมื่อปี 2561 ตนได้เสนอเรื่องราวให้มีการตรวจสอบธุรกิจของดิ ไอคอน ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่เรื่องนี้มันเงียบหายไป จนหลายคนไปเชื่อม ไปโยง ว่า คนชื่อประทีปเป็นเทพเทวดาที่เรียกรับผลประโยชน์ แลกกับการไม่ดำเนินคดีกับเขา แต่ขอยืนยันว่าไม่ใช่ตน และยืนยันว่าจะดำเนินคดีแน่นอน เพราะทำให้ตนได้รับความเสียหายจากเรื่องนี้
เมื่อครั่งที่ตนดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการกองคุ้มครองผู้บริโภค ด้านธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง สคบ.นั้น ทางบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป ได้เคยเข้ามาหารือว่า จะสามารถจดทะเบียนเป็นธุรกิจขายตรงได้หรือไม่ แต่เมื่อดูข้อมูล และเอกสารแล้ว พบว่าองค์ประกอบไม่สามารถจดทะเบียนเป็นธุรกิจขายตรงได้ จึงแนะนำให้ไปจดทะเบียนตลาดแบบตรง แต่ทางบริษัท ดิไอคอน ต้องการให้ สคบ.ทำหนังสือเป็นเป็นลายลักษณ์อักษร
ต่อมาวันที่ 13 มิ.ย. 2561 “บอสพอล” ได้เข้ามายื่นหนังสือให้กับตัวเอง โดยหนังสือฉบับนั้นเป็นเพียงเป็นข้อหารือ เพื่อยื่นขอจดทะเบียนเป็นธุรกิจขายตรง ไม่ใช่หนังสือการประกอบธุรกิจอย่างมีคุณธรรม ตามที่บริษัทดิไอคอน โพสต์ และติดแฮชแท็ก
ทั้งนี้เมื่อดูข้อมูลแล้ว ตัวเองก็เห็นว่า ธุรกิจดังกล่าว ค่อนข้างล่อแหลม และมีความเสี่ยงที่จะกระทำความผิดได้ จึงเสนอเรื่องให้กับเลขาธิการ สคบ.ในขณะนั้น ซึ่งได้เห็นชอบส่งหนังสือไปยัง 3 หน่วยงาน คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ให้ตรวจสอบ
ตนไม่ได้รู้จักบอสพอลเป็นการส่วนตัว และเคยเจอบอสพอลเพียง 2 ครั้ง ครั้งแรก คือ กรณีที่บอสพอล มายื่นหนังสือหารือการจดทะเบียนธุรกิจขายตรง และอีกครั้งในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ที่บอสพอล นำขนมไหว้พระจันทร์มามอบให้ พร้อมกับขอถ่ายรูปกับตน
ส่วนกรณีคลิปเสียงล่าสุดซึ่งเป็นการสนทนา ระหว่าง บอสพอล และนักการเมืองคนหนึ่ง พร้อมทั้ง พาดพิงชื่อ “ประทีป” อ้างว่า สามารถแต่งตั้งประทีปให้ขึ้นรองเลขา และให้ช่วยดูแลได้นั้น
พ.ต.อ.ประทีป ระบุว่า ไม่รู้ที่มาของคลิปว่ามาจากไหน แต่ตัวเองได้รับความเสียหายมาก เนื่องจากบุคคลที่ชื่อประทีป ในสคบ. ตั้งแต่ที่ตัวเองรับราชการ จนถึงปัจจุบัน ไม่มีคนที่ชื่อประทีป และเมื่อไปเจาะจง ที่รองเลขาธิการสคบ. ก็มีตัวเองคนเดียว โดยเฉพาะประเด็นที่อ้างว่า มีส่วนในการแต่งตั้งเป็นรองเลขา ยืนยันว่าไม่มีใครสนับสนุน ขณะที่การแต่งตั้งการเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกก็ผ่านกรรมการ ตั้งแต่ปลัดกระทรวง รองปลัดกระทรวง ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นผู้พิจารณาตามหลักความรู้ ความสามารถ ซึ่งตัวเองมั่นใจในความสามารถ และไม่เคยมีการวิ่งเต้นเพื่อเข้าสู่ตำแหน่ง ที่สำคัญนักการเมืองที่กล่าวอ้างว่าเป็นผู้แต่งตั้งตัวเอง ก็คงไม่ได้มีศักยภาพในการผลักดัน
ขณะที่ วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ มองว่า คลิปเสียงที่ว่านี้ มันมีการอัดได้แค่ 2 ฝ่าย ไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่ง เป็นคนปล่อย แต่ ณ วันนี้มันเกิดความเสียหายขึ้นแล้วกับข้าราชการคนหนึ่ง ซึ่งเราอาจต้องกลับมาทบทวนว่า แทนที่เราจะไปไล่เค้นความจริงจากตัวบอส เรากลับมาโฟกัสที่ข้าราชการคนหนึ่งแทน มันกำลังเป็นการเบี่ยงเบนอะไรอยู่หรือเปล่า
แต่อย่างไรก็ตาม การปล่อยคลิปเสียงนี้ออกมา ก็มีข้อดี คือการทำให้เห็นว่า สังคมของเรามันกำลังเน่าเฟะอยู่แค่ไหน
ที่สำคัญก็คือเราได้เห็นภาพคุณพอลไปยืนเคียงข้างข้าราชการหลายต่อหลายคน แต่ยังไม่เคยเห็นภาพคุณพอลยืนข้างเจ้าของเสียงคู่สนทนาในคลิปเลย ลองฝากนัดสืบโซเชียลตามหาก็อาจจะเจอก็ได้