หญิงคนหนึ่งร้องเรียนมายังเพจโหนกระแสว่า คุณแม่ประสบอุบัติเหตุซ้ำซ้อน เสียชีวิต แต่ฝั่งคู่กรณีทั้งสองไม่เยียวยา ไม่ยอมรับผิด และยังมีความกังวลในเรื่องคดี เนื่องจากคู่รกรณีรู้จักคนใหญ่คนโตในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของคดีก็ขาดการติดต่อ หวั่นจะไม่ได้รับความเป็นธรรม
หญิงผู้ร้องเรียน เล่าว่า คุณแม่ประสบอุบัติเหตุเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2566 ช่วงเวลาประมาณ 19.00 น. ในพื้นที่ความรับผิดชอบ สภ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี โดยคุณแม่ขี่ จยย. ออกมาจากซอย ตั้งลำตรงเข้าเลนตัวเองแล้ว แต่มีรถเก๋งสีขาวที่มาทางตรงชนเข้าอย่างแรง แล้วไปอัดกับรถเก๋งคันสีดำที่ขับสวนมาอีกเลน ขา กะโหลก สมอง และกระดูกต้นคอได้รับความเสียหายรุนแรง จนทำให้เสียชีวิต
หลังจากทำพิธีรดน้ำศพ หญิงคนขับเก๋งสีดำได้นำเงินใส่ซองทำบุญ 2,000 บาท ทางครอบครัวตนก็ได้บอกไปว่า หากจะร่วมทำบุญและมาด้วยความจริงใจก็ยินดี ไม่ใช่มาเพื่อถ่ายรูปนำไปประกอบเป็นหลักฐานต่อสู้ทางคดี แต่ทางสามีของหญิงคนขับก็ได้โต้เถียงว่าภรรยาเขาไม่มีความผิดใดๆ
ส่วนคนขับเก๋งสีขาวที่เป็นคันที่ชนคันแรก ก็มาที่งานพร้อมกับคนที่อ้างว่านักการเมืองท้องถิ่น มีการจ้างคนมาเป็นบอดีการ์ด และนำเงินใส่ซองให้ 17,000 บ. ทางตนจึงบอกไปเช่นเดียวกันว่ายินดีรับหากจะร่วมทำบุญ แต่นี่ไม่ใช่เงินเยียวยา คู่กรณีก็ตอบว่าเป็นเงินทำบุญ แต่ปรากฏว่าเขาถ่ายรูปทุกจุด ทุกขั้นตอน ถ่ายตลอดเวลา ตนก็มองว่าเขาคงจะเก็บไปเพื่อต่อสู้ทางคดี
ส่วนเรื่องคดี สำหรับตนแล้วทุกอย่างมีข้อน่ากังขา ทั้งเจ้าของคดี การเก็บพยานหลักฐาน การลงพื้นที่เกิดเหตุ ตนต้องเป็นคนตามจี้ทุกอย่าง หลังเกิดเหตุวันแรกตำรวจไม่ยอมบอกตนด้วยซ้ำว่าคู่กรณีเป็นใคร
เมื่อตนโทรติดตาม ตำรวจเจ้าของคดีก็รับสายบ้างไม่รับบ้าง บอกว่าติดเรียนบ้าง กระทั่งเดือน ก.พ. 67 ก็ขาดการติดต่อ ไม่เคยรับสายตนอีกเลย หายไปเลย โดยบอกว่าให้ตำรวจหญิงคนหนึ่งช่วยดูแลต่อ
วันที่ 18 มิ.ย. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่จากทางภาครัฐโทรมาแจ้งว่าให้ไปเซ็นรับค่าสินไหมทดแทนในวันที่ 20 มิ.ย. แต่พอไปแล้วไม่ใช่แค่เซ็น ทางตนได้รับแจ้งว่าจะมีการสั่งฟ้องคู่กรณีรถเก๋งสีขาว ทางตนไม่ทันตั้งตัวและไม่ทราบมาก่อน ไม่รู้รายละเอียดเรื่องสำนวนและหลักฐานเลย ส่วนรถเก๋งสีดำมีคำสั่งไม่ฟ้อง
ส่วนที่ตนกังวลก็คือ คู่กรณีรู้จักทั้งผู้ที่อ้างตัวว่านักการเมืองท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม เพราะหลังเกิดเหตุได้ 1 อาทิตย์ คู่กรณีมีการจัดงานเลี้ยง มีตำรวจมาร่วมงานด้วย
อีกทั้งตนไม่มั่นใจว่าพยานหลักฐานที่ตำรวจส่งไปมีอะไรบ้าง เพียงพอแน่นหนาแล้วหรือไม่ หากต่อสู้ไปตนจะแพ้หรือเปล่า เพราะตนไม่เคยได้รับการติดต่อชี้แจงรายละเอียดความคืบหน้าจากตำรวจเจ้าของคดีเลย ทางคู่กรณีก็ยืนยันว่าเขาไม่ผิด และไม่ขอรับผิดชอบเยียวยา แม่ตนเป็นฝ่ายผิดแต่เพียงผู้เดียว แต่ตนต้องไปขึ้นศาลในวันที่ 4 ก.ค. นี้แล้ว
นอกจากนี้ หลังเกิดเหตุประมาณ 1 เดือน ตนได้พยายามติดต่อสื่อต่างๆ ปรากฏว่ามีคนแอบอ้างว่าเป็นทีมงานโหนกระแส สามารถพาไปออกรายการได้ แต่เรียกเก็บเงิน 5 หมื่นบาท ซึ่งขณะนั้นจิตใจตนกำลังย่ำแย่และไม่มีกำลังทรัพย์ จึงยังไม่ได้ติดต่อกลับ ประจวบเหมาะกับช่วงนั้น ‘หนุ่ม กรรชัย’ พิธีกร ได้ย้ำว่าไม่มีการเรียกเก็บเงินสำหรับผู้มาออกรายการแต่อย่างใด ขออย่าหลงเชื่อ ตนจึงมั่นใจว่าที่ติดต่อมาคือ มิจฉาชีพ
ตนร้องต่อสื่อหวังให้ช่วยเป็นกระบอกเสียง ทวงความยุติธรรมให้กับแม่ตนที่เสียชีวิตไป หลังจากที่ตนเห็นภาพหลายๆ อย่างแล้ว ทำให้ตอนนี้ตนไม่มั่นใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เลย