มาร่วมตีแผ่กระแสที่แรงที่สุดในสังคม กับรายการโหนกระแสthaich3ช่อง 3 กด 33
ติดต่อเราfacebooktiktokxyoutube
honekrsaaehonekrsaae
thaich3ช่อง 3 กด 33honekrsaae
ข่าวกำลังโหน
โหนทุกข่าว
โหนบันเทิง
โหนไปมู
โหนร้องทุกข์
วีดีโอ
search
ปิด
honekrsaae
honekrsaae
มาร่วมตีแผ่กระแสที่แรงที่สุดในสังคม กับรายการโหนกระแส
thaich3ช่อง 3 กด 33
หน้าหลัก
ข่าวกำลังโหน
โหนทุกข่าว
โหนบันเทิง
โหนไปมู
โหนร้องทุกข์
วีดีโอ
Live
ติดต่อเราfacebooktiktokxyoutube

สาวอดีตเจ้าของแบรนด์อาหารเสริม เผยถูกอดีต สส.-นักธุรกิจ หลอกเงินวิ่งเต้นให้พ้นคดี สูญไป 9 ล้าน สุดท้ายก็ยังติดคุก 2 ปี


ข่าวด่วน
1 กรกฎาคม 25684,041
สาวอดีตเจ้าของแบรนด์อาหารเสริม เผยถูกอดีต สส.-นักธุรกิจ หลอกเงินวิ่งเต้นให้พ้นคดี สูญไป 9 ล้าน สุดท้ายก็ยังติดคุก 2 ปี

รายการโหนกระแส วันนี้ เปิดใจ “คุณปูนิ่ม” อดีตเจ้าของธุรกิจอาหารเสริมชื่อดัง ที่เคยสร้างชื่อเสียงในวงการเมื่อกว่า 10 ปีก่อน ก่อนชีวิตจะพลิกผัน สินค้า ผลิตภัณฑ์มีปัญหา มีสารอันตราย ถูกแจ้งความดำเนินคดี เมื่อปี 2557 และมีปัญหาเรื่อง เลขสินค้า-เลขจดแจ้ง อย. ไม่ตรงกัน ต้องถูกดำเนินคดีจากปัญหาผลิตภัณฑ์อาหารเสริม 

 

คุณปูนิ่มบอกว่า ตอนนั้นเธอพยายามต่อสู้มา เรายอมรับว่าเราผิดพลาดจริงๆ ตอนนั้นผิดพลาดเพราะไว้ใจโรงงาน เราไม่ได้ผลิตเอง โรงงานเป็นคนใส่สารอันตรายลงไปเอง ส่วนเรื่องฉลากสินค้า ก็เป็นโรงงานทำ แต่เราพยายามจะแก้ไข ด้วยการพิมพ์สติกเกอร์มาแปะทับเลข อย. เราทำไปด้วยความรู้น้อย แต่มันไม่ได้ ก็เลยถูกดำเนินคดี

 

ย้อนกลับไปตอนนั้น เราติดต่อลูกค้าทุกคนที่ซื้อลูกค้าเราไป เพื่อขอคืนเงิน ตอนนั้นหมดไปกว่า 45 ล้านบาท ใครที่ส่งของกลับมา เราคืนเงินหมด เพราะเรามีระบบลงทะเบียนทั้งหมด แต่ถึงแม้จะมีการคืนเงิน แต่คดีอาญาก็ยังดำเนินต่อไป

 

แต่ปรากฏว่า ระหว่างนั้น มีคนมาบอกว่าเคลียร์ได้ พร้อมแนะนำให้รู้จักชาย 2 คน ที่อ้างว่าจะช่วยเหลือคดีได้ คนแรกเป็นอดีต สส. อีกคนเป็นนักธุรกิจ อ้างว่าจะช่วยจบคดีให้ แต่สุดท้ายไม่เพียงแค่เสียเงิน ยังต้องติดคุกนานกว่า 2 ปีอีกด้วย

 

คุณปูนิ่ม เล่าในรายการว่า ตัวเองเคยเป็นเจ้าของบริษัทผลิตอาหารเสริมชื่อดัง ตั้งอยู่ในจังหวัดพิษณุโลก แต่ปัจจุบันบริษัทได้ปิดตัวลงแล้ว ย้อนกลับไปเมื่อปี 2557 เธอถูกดำเนินคดีจากข้อหาจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งหมด 3 รายการ โดยศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกสินค้าละ 9 เดือน รวมโทษจำคุก 27 เดือน

 

ระหว่างการต่อสู้คดี มีบุคคล 2 คน เข้ามาติดต่อ อ้างตัวเป็นอดีตนักการเมือง และนักธุรกิจชื่อดัง เสนอจะช่วยเหลือให้คดีจบลงด้วยดี โดยคนแรก ตอนนั้นยังดำรงตำแหน่ง สส. ในจังหวัดใกล้เคียง บอกว่า รู้จัก อธิบดีอัยการ ที่เป็นคนที่ทำงานด้วยกัน เขาสามารถช่วยเหลือเราได้ เราเองยังอายุแค่ 20 กว่าๆ ทำให้เราหลงเชื่อ รวมทั้งยังมีการเซ็นเช็คเป็นตัวค้ำประกัน ไว้กับเราด้วย เช็คมีอายุ 6 เดือน เขาเรียกเงินไป 3 ล้านบาทก้อนแรก โดยความผิดปกติบางอย่างคือ เวลาเขามารับเงิน จะรับเงินสด และจะเอากระดาษ A4 มาพับเป็นหน้ากาก เจาะรูที่ตาที่ปาก ปิดบังใบหน้า อ้างว่ามีนักข่าวตามเยอะ กลัวจะตกเป็นข่าวไม่ดี

 

หลังจากนั้นคดีก็เงียบไปเป็นปี หลังจากที่เราไปรับทราบข้อกล่าวหา ทำให้เราเชื่อว่า เงิน 3 ล้านที่จ่ายไป น่าจะช่วยประวิงเวลาอยู่ รวมทั้งเขายังคอยโทรมาอัปเดตว่า เอาเงินไปมอบให้ “ท่านอธิบดี” แล้ว อย่าเพิ่งเอาเช็คไปขึ้นเงินนะ เราก็เลยสบายใจ

 

ต่อมา อดีต สส.รายนี้ บอกว่า มีการเปลี่ยนแปลงภายใน เปลี่ยนตัวอธิบดี ต้องจ่ายให้ท่านใหม่ 1.5 ล้านบาท เราก็หลงเชื่อ เอาเงินให้เขาไปอีก แต่สุดท้ายก็ต้องไปขึ้นศาลชั้นต้น ศาลสั่งฟ้องทุกข้อหาเต็ม พิพากษาจำคุก 3 ปี 

 

เรื่องนี้ นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง อธิบดีอัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิ และช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน (สคช.) บอกว่า กรณีแบบนี้ คุณปูนิ่มสามารถแถลงต่อศาลได้ว่าเราไม่รู้ แต่ต้องยอมรับไปตามความจริงว่าสินค้าเป็นของเรา แต่ว่าเราจ้างผลิต ไม่ได้ผลิตเอง และการที่เราเยียวยาผู้เสียหายไปแล้ว 45 ล้านบาท ไม่ใช่เงินน้อยๆ เคสแบบนี้ ตามประสบการณ์ที่ผ่านมา มักจะเป็นการรอลงอาญาทั้งนั้น 

 

แต่การขึ้นศาลครั้งนั้น คุณปูนิ่มไปหลงเชื่อคำพูดของ อดีต สส. ที่บอกให้สู้ อย่าไปยอมรับ เพราะเราจ่ายเงินไปแล้ว สุดท้ายเมื่อไม่ยอมรับ ก็เลยถูกพิพากษาจำคุกในศาลชั้นต้น และอดีต สส.รายนี้ก็ไม่สามารถติดต่อได้อีก

 

แต่หลังจากนั้น เมื่อคดีเข้าสู่ชั้นอุทธรณ์ พี่เขยของคุณปูนิ่ม แนะนำให้รู้จักกับ นักธุรกิจรายใหญ่ในพื้นที่ เป็นคนที่มีธุรกิจใหญ่ เขาบอกว่า เขารู้จักกับอธิบดีอัยการใหญ่ มีทีมทำงานอยู่ที่โคราช เขาช่วยเหลือได้แน่ วันที่ไปขึ้นศาลอุทธรณ์ ให้เตรียมตัวกลับมากินหมูกระทะได้เลย หมดเงินกับคนนี้ไปอีก 4.5 ล้านบาท

 

แต่ปรากฏว่าพอไปขึ้นศาล ปรากฏว่าศาลพิพากษายืน ถูกควบคุมตัวเข้าทัณฑสถานหญิงกลางทันที ซึ่งทางคนที่ดีลให้ก็ยังบอกว่า จะมีการช่วยเหลือ ให้ได้รับการพักโทษ แต่สุดท้ายก็ติดคุกตามขั้นตอนทั้งหมดอยู่ดี

 

คุณปูนิ่ม เล่าต่อว่า หลังจากพ้นโทษ เธอพยายามติดต่อบุคคลทั้งสองเพื่อขอเงินคืน แต่ก็ไม่เป็นผล จึงตัดสินใจโพสต์เรื่องราวทั้งหมดลงในโซเชียล เพื่อเตือนภัยและเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตัวเอง พร้อมยอมรับว่าปัจจุบันรู้สึกกังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะบุคคลที่เกี่ยวข้องบางรายมีพฤติกรรมข่มขู่ และพยายามกดดันไม่ให้พูดเรื่องนี้ออกสื่อ

 

ทั้งนี้ สำหรับบริษัทอาหารเสริมของเธอ เคยถูกดำเนินคดีเพิ่มเติมเมื่อเดือนธันวาคม 2567 หลังมีผู้ร้องเรียนว่า จำหน่ายผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักที่ไม่ได้มาตรฐาน และจากการตรวจสอบพบว่าผลิตภัณฑ์บางรายการมีสาร “ไซบูทรามีน” ซึ่งเป็นสารต้องห้ามและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เจ้าหน้าที่จึงดำเนินการตามกฎหมาย และบริษัทก็ปิดกิจการในที่สุด

 

คุณปูนิ่ม ทิ้งท้ายในรายการว่า สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดไม่ใช่เพียงแค่ต้องติดคุก แต่คือการถูกหลอกในวันที่สิ้นหวังที่สุด พร้อมยืนยันว่าหากปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปตามปกติ อาจไม่ต้องเสียเงินทั้งหมด และไม่ต้องนำบ้านของแม่ไปจำนองเพื่อหาเงินจ่ายให้กับคนที่อ้างว่าจะช่วยเหลือด้วยซ้ำ เธอหวังว่าเรื่องราวนี้จะเป็นอุทาหรณ์ให้คนอื่นๆ ไม่ตกเป็นเหยื่อในลักษณะเดียวกันอีก

 

หลังจากเล่าเรื่องถูกหลอกเงินจบแล้ว คุณปูนิ่ม ยังเล่าเรื่องอุทาหรณ์ของแม่ค้าออนไลน์ ที่ตนเริ่มขายของออนไลน์ และมีการยิง Ads ใน เฟซบุ๊กเป็นรายแรกๆ เมื่อ 10 ปีก่อน โดยที่ไม่รู้เลยว่า ถ้าใช้บัตรเครดิตส่วนตัวของตัวเอง ผูกกับการยิง Ads ในเฟซบุ๊ก จะไม่นับเป็นรายจ่ายของบริษัท เพราะเอกสารหลักฐานไม่ใช่ชื่อบริษัท และถูกตีว่าต้องเสียเป็นภาษีบุคคลธรรมดา ในฐานสูงสุด

 

เรื่องนี้ทำให้คุณปูนิ่ม ต้องจ่ายภาษีย้อนหลังพร้อมค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 600 ล้านบาท ตอนนี้ทรัพย์สินที่มีทั้งหมด ที่ซื้อมาด้วยเงินสด ถูกอายัดไปหมด ก็ยังไม่พอใช้หนี้ ตอนนี้หมดเนื้อหมดตัว ไม่เหลืออะไรเลย

 

เรื่องนี้ทนายแก้วให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า หนี้สรรพากร เป็นหนี้ที่ไม่มีหมดอายุความ และจะเป็นหนี้ที่มีความสำคัญอันดับ 1 เสมอ ไม่ว่าคุณเป็นลูกหนี้ของใครบ้างก็ตาม แต่หนี้ของสรรพากรต้องจ่ายก่อนเสมอ

 


แท็กที่เกี่ยวข้อง
#เจ้าของธุรกิจ#อดีตสส#วิ่งเต้นคดี