พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ได้สั่งการ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. จัดทีมสืบสวนติดตามจับกุมตัว หญิง อายุ 47 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลแขวงดุสิตที่ จ.174/2567 ลงวันที่ 27 ก.ย.67 ข้อหา “ไม่มีสิทธิสวมเครื่องแบบ เครื่องหมายยศของเจ้าพนักงาน แต่งเครื่องแบบและเครื่องหมายยศเพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิ”
ตรวจยึดของกลาง 5 รายการ ประกอบด้วย  
1.ชุดปกติขาวพร้อมเครื่องราชอิสริยาภรณ์ 1 ชุด 
2.เสื้อคลุมสีดำ ปักคำว่า รัฐสภา 1 ชุด  
3.เสื้อคลุมสีดำ ปักคำว่า สำนักนายกรัฐมนตรี 1 ชุด 
4.บัตรตัวแทนพรรคการเมืองชื่อดัง 1 ใบ  
5.รถยนต์โตโยต้า แคมรี่สีเทา 1 คัน (ใช้ซุกซ่อนของกลางและนำไปจอดแอบ)
พบประวัติคดีอาญา 14 คดี
1.วันที่ 13 พ.ค.53 ถูกดำเนินคดีข้อหา “ฉ้อโกง” พื้นที่ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ เหตุจากที่ผู้ต้องหาหลอกลวงจ่ายเช็คเงินสดให้กับผู้เสียหาย
2.วันที่ 2 มี.ค.57 ถูกดำเนินคดีข้อหา “ฉ้อโกง” พื้นที่ สน.บางโพงพาง เหตุจากที่ผู้ต้องหาหลอกลวงว่าทำรับเหมาก่อสร้าง ผู้เสียหายจึงจ่ายเงินให้ 80,000 บาท เป็นค่าตกแต่งอาคารแต่ไม่มีการดำเนินการใดๆ
3.วันที่ 15 พ.ค.60 ถูกดำเนินคดีข้อหา “ฉ้อโกง” พื้นที่ สน.บางชัน เหตุจากที่ผู้ต้องหาหลอกลวงว่าทำรับเหมาก่อสร้าง หลอกลวงให้ผู้เสียหายจ่ายเงินเป็นค่าแบบก่อสร้างให้ 30,000 บาท แต่กลับหนีหาย
4.วันที่ 19 ธ.ค.60 ถูกดำเนินคดีข้อหา “ฉ้อโกง” พื้นที่ สภ.ประตูน้ำจุฬา จ.ปทุมธานี เหตุจากที่ผู้ต้องหาหลอกลวงผู้เสียหายว่าจะรับเหมาทำหลังคาบ้านให้ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินให้ผู้ต้องหา 40,000 บาท 
5.วันที่ 13 มี.ค.61 ถูกดำเนินคดีข้อหา “ฉ้อโกง” พื้นที่ สน.ทองหล่อ เหตุจากผู้ต้องหาแอบอ้างเป็นหลานอธิการบดีมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านปทุมวัน ชักชวนผู้เสียหายลงทุนเปิดร้านกาแฟในมหาวิทยาลัย 
6.วันที่ 13 มี.ค.61 ถูกดำเนินคดีข้อหา “ฉ้อโกง” พื้นที่ สน.ทองหล่อ เหตุจากผู้ต้องหาแอบอ้างเป็นหลานอธิการบดีมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านปทุมวัน ชักชวนผู้เสียหายลงทุนเปิดร้านขายโทรศัพท์มือถือ โดยอ้างว่านักศึกษาส่วนใหญ่เป็นพระสงฆ์ที่จำวัดภายในมหาวิทยาลัยทำความเสียหายรวม 744,000 บาท
7.วันที่ 4 ก.ค.61 ถูกดำเนินคดีข้อหา “ฉ้อโกง” พื้นที่ สภ.เมืองจันทบุรี จ.จันทบุรี 
8.วันที่ 4 ก.ค.61 ถูกดำเนินคดีข้อหา “ฉ้อโกง” พื้นที่ สภ.เมืองจันทบุรี จ.จันทบุรี 
9.วันที่ 25 ก.ย.61 ถูกดำเนินคดีข้อหา “ฉ้อโกง” พื้นที่ กก.2 บก.ป. เหตุจากที่ผู้ต้องหาแอบอ้างเป็นเจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ชักชวนผู้เสียหายให้ร่วมลงทุนเล่นหุ้น แล้วจะคืนเงินปันผลให้ทุกๆเดือน โดยผู้เสียหายโอนเงินไปให้หลายครั้ง รวมความเสียหายทั้งหมด 7,600,000 บาท
10.วันที่ 13 พ.ค.62 ถูกดำเนินคดีข้อหา “ฉ้อโกง” พื้นที่ สภ.เมืองชัยภูมิ เหตุจากที่ผู้ต้องหาแอบอ้างหลอกลวงพระสงฆ์ในวัดชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.ชัยภูมิ
11.วันที่ 11 ก.ค.64 ถูกดำเนินคดีข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกง” พื้นที่ สน.ประชาชื่น เหตุจากที่ผู้ต้องหาแอบอ้างว่าเป็นคณะทำงานของอดีตนายกรัฐมนตรี หลอกลวงผู้เสียหายว่าจะให้เข้ามาทำงานที่สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไปให้ผู้ต้องหากว่า 570,000 บาท
12.วันที่ 12 พ.ค.66 ถูกดำเนินคดีข้อหา “ฉ้อโกง” พื้นที่ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช เหตุจากที่ผู้ต้องหาแอบอ้างว่าตนเองเป็นเลขาส่วนตัวของอดีตนายกรัฐมนตรี ชักชวนให้ผู้เสียหายลงทุนโครงการ “บัตรลุงตู่พลัส” จนผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไปให้ผู้ต้องหากว่า 1,700,000 บาท
13.วันที่ 27 ส.ค.67 ถูกดำเนินคดีข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกง” พื้นที่ สน.บางโพ เหตุจากที่ผู้ต้องหาแอบอ้างว่าตนเองเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) และยังอ้างว่าเป็นคณะทำงานของอดีตนายกรัฐมนตรี โดยหลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงินรวมความเสียหาย 14,000 บาท โดยอ้างว่าจะสามารถได้รับตำแหน่งผู้ช่วย สว. ได้ ซึ่งต่อมาผู้เสียหายได้ตรวจสอบชื่อของผู้ต้องหาแล้วไม่พบว่าเป็น สว. 
14.วันที่ 27 ก.ย.67 ถูกดำเนินคดีข้อหา “ไม่มีสิทธิสวมเครื่องแบบ เครื่องหมายยศของเจ้าพนักงาน แต่งเครื่องแบบและเครื่องหมายยศเพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิ” พื้นที่ สน.บางโพ เหตุจากที่ผู้ต้องหาปลอมตัว แต่งกายชุดปกติขาวและสวมเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เข้าไปเดินมั่วอยู่ในอาคารรัฐสภา ทำทีไปขอถ่ายภาพร่วมกับผู้มีตำแหน่งทางการเมืองหลายๆคน ซึ่งต่อมาได้ตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหาไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่ใดๆ

พฤติการณ์กล่าวคือ ผู้ต้องหา เซียนนักต้มตุ๋น มาเหนือเมฆ สวมชุดขาวติดเครื่องราชฯ เข้าไปเดินมั่ว“ในรัฐสภา” ตระเวนแอบอ้างต้มตุ๋นเหล่า สว. และ สส. หลายท่าน พบประวัติก่อเหตุฉ้อโกงมา 14 คดี จากการสืบค้นในระบบข้อมูลพบว่าคดีที่เธอก่อเหตุมา เส้นทางนักต้มตุ๋นของเธอเมื่อก่อนเริ่มจากการฉ้อโกงเล็กๆน้อยๆ โดยทำตัวเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ตระเวนรับเงินค่าจ้างแล้วเบี้ยวหลายรายเป็นเวลาเกือบ 10 ปี
จนห้วงปี 2560 เริ่มหลอกลวงรูปแบบใหม่คือ “การแอบอ้าง” เธอเริ่มอ้างเป็นคนสนิทอธิการบดีมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านปทุมวัน หลอกลงทุนหุ้น ลงทุนเปิดร้านค้าในมหาวิทยาลัย จนเมื่อเข้าสู่ห้วงปี 2564 เริ่มแอบอ้างเป็นคนสนิทระดับ “นายกรัฐมนตรี” หลอกลวงจะวิ่งเต้นให้ได้ตำแหน่งในสำนักนายกรัฐมนตรี หลอกจะวิ่งเต้นให้เป็นผู้ช่วย สว. จนถึงหลอกลวงลงทุน “บัตรลุงตู่พลัส”
จนล่าสุดถึงขนาดสวมชุดขาวติดเครื่องราชฯ เดินเข้ามาป้วนเปี้ยนในรัฐสภาในทุกสมัยการเปิดประชุมสภา จนกระทั่งได้มีสมาชิกวุฒิสภาท่านหนึ่งได้กล่าวในที่ประชุมเพื่อหารือเรื่องของมิจฉาชีพรายนี้กลางสภา ในการประชุมวุฒิสภาครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 20 ส.ค.67 โดยกล่าวถึงมิจฉาชีพรายนี้ว่าแอบแฝงเข้ามาในรัฐสภา ทำการตีสนิทกับ สว. และ สส. ชื่อดังหลายท่าน ก่อนที่มิจฉาชีพรายนี้จะทำการแอบอ้างถึงบุคคลสำคัญเช่น ตนเองเคยทำงานร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี , อ้างว่าตนเองเป็นลูกบุญธรรมของภรรยาของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา , อ้างว่าตนเป็นญาติกับภรรยาของนายอนุทิน ชาญวีรกูล , อ้างว่าตนเป็นคนสนิทของนายเนวิน ชิดชอบ โดยมักทำพฤติกรรมทำทีโทรศัพท์โชว์ให้ผู้อื่นหลงเชื่อ และล่าสุดทำพฤติกรรมแต่งชุดขาวพร้อมติดเครื่องราชฯ ทั้งที่ไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่ใดๆ เข้ามามั่วถ่ายรูปคู่กับหลายๆคนภายในรัฐสภา โดยอ้างว่าตนเป็นราชการสำนักนายกรัฐมนตรี
ซึ่งต่อมาตรวจสอบจนไปทราบว่าเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ จึงได้เสนอให้มีการสอบสวนเป็นวาระเร่งด่วนโดยตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ของรัฐสภาต้องติดประกาศห้ามเธอเข้าพื้นที่ ซึ่งต่อมาเธอก็ได้ถูกพนักงานสอบสวน สน.บางโพ ออกหมายจับ และเมื่อเรื่องของเธอแดงขึ้นที่สภาเธอก็ไหวตัวหลบหนีเข้ากลีบเมฆไป  พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.วิเคราะห์พฤติกรรมแล้วเป็นภัยต่อสังคม เร่งสั่งการ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ส่งชุดไล่ล่าติดตามตัวทันที
โดยระหว่างที่ชุดสารวัตรแจ๊ะได้ล่าติดตามพบว่าคนร้ายได้หลบหนีไปกบดานอยู่กับ “หมอดูชื่อดัง” ตระเวนเช่าห้องพักรายวันอยู่ในละแวก ถ.ลาดกระบัง โดยจะเปลี่ยนที่พักทุกๆวันไม่ให้ซ้ำ เพื่อป้องกันการติดตามของเจ้าหน้าที่ กระทั่งวันที่ 5 ต.ค.67 ชุดสืบสวนได้พบคนร้ายกำลังจะย้ายที่พักจึงทำการจับกุมตัวไว้ทันที ซึ่งหลังการจับกุมชุดสืบสวนได้ขยายผลตรวจค้นพบ ชุดข้าราชการ (ชุดขาว) ติดเครื่องราชฯ , เสื้อคลุมตราสำนักนายกรัฐมนตรี , เสื้อคลุมตรารัฐสภา , บัตรตัวแทนพรรคการเมืองชื่อดัง ซุกซ่อนอยู่ในรถยนต์เช่า โดยไปจอดแอบไว้อยู่ภายในโรงแรมแห่งหนึ่งย่านอ่อนนุช และจากการตรวจสอบโทรศัพท์พบภาพถ่ายคู่กับนักการเมืองชื่อดังหลายท่าน มีภาพถ่ายการสวมชุดข้าราชการ (ชุดขาว) หลายภาพ และจากการสอบถามบุคคลในพื้นที่ละแวกที่คนร้ายหลบหนีไปกบดานนั้นได้ข้อมูลว่า คนร้ายมักแอบอ้างว่าตนเองมีตำแหน่งทางการเมือง ลักษณะอวดกับพนักงานหลายๆแห่งในพื้นที่

ในชั้นจับกุม ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “ทางคดีตนได้นำเครื่องแบบของเพื่อนมาสวม โดยที่ปรากฏภาพที่ไปถ่ายชุดขาวกับคนอื่นๆในรัฐสภา เป็นเพราะวันนั้นตนเองลองสวมดูเฉยๆ ตั้งใจจะไปถ่ายภาพเพื่อนำไปสมัครเป็น สส. โดยต้นเหตุที่ตนโดนคดีมาจากการถูกกลั่นแกล้งจาก สว. ท่านหนึ่งที่มีปัญหากับตนเพราะเข้าใจว่าตนเป็นสาเหตุให้ สว. ท่านนั้นเลิกกับภรรยา จึงเดินหน้าหาเรื่องตน ส่วนที่บอกว่าตนสนิทสนมกับ พล.อ.ประยุทธ นั้นเพราะตนเคยช่วยหาเสียงให้พรรคพลังประชารัฐและได้ถ่ายภาพคู่กับ พล.อ.ประยุทธหลายครั้งแต่ไม่ทราบว่า พล.อ.ประยุทธ จะรู้จักตนหรือไม่ ยืนยันว่าไม่เคยไปทำอะไรเสียหายให้กับ สว. และ สส. ในสภา แต่คดีฉ้อโกงที่เกิดขึ้นนั้นส่วนใหญ่จบไปแล้วเพราะตนนำเงินไปคืนให้กับผู้เสียหาย แต่ยังมีคดีที่อยู่ในศาลคือที่ไปหลอกลวงลงทุน “บัตรลุงตู่พลัส” ความเสียหาย 1,700,000 บาท ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 3 ปี ตอนนี้อยู่ระหว่างการสู้ชั้นอุธรณ์ ยืนยันว่าตนไม่เคยไปแอบอ้างไปอวดเบ่งผู้ใด แต่ถ้ามีคนบอกว่าตนเคยไปแอบอ้างตนยินดีไปพูดคุยกับทุกคน”
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า “เรายังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของผู้ต้องหา เพราะจากพฤติกรรมที่ได้ข้อมูลประวัติคดี ข้อมูลจากการสืบสวนค่อนข้างมีทิศทางตรงข้ามกับคำให้การของผู้ต้องหา จากประวัติต้องคดีของผู้ต้องหารายนี้นับว่าก่อคดีมามาก ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นคดีในข้อหา ฉ้อโกง แต่จากพฤติการณ์แล้วจะเห็นว่าผู้ต้องหานั้นไม่ได้ประกอบอาชีพใดๆ  
ล่าสุดได้ถูกออกหมายจับในเรื่องของการสวมเครื่องแบบและเครื่องราชฯ ซึ่งในทางคดีนั้นพยานหลักฐานและยังพบว่ามีการกระทำเช่นนี้หลายครั้ง ซึ่งหลังจากนี้จะมีการขยายผลโดยละเอียด ขอประชาสัมพันธ์เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณชน ผู้ใดเคยถูกผู้ต้องหารายนี้หลอกลวงไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม สามารถแจ้งเบาะแสมาได้ที่เพจ สืบนครบาล IDMB จะมีการขยายผลให้ถึงที่สุด แม้ว่าจะไม่ใช่คดีอุกฉกรรจ์ แต่หากเป็นความเดือดร้อนของประชาชน เราทำทันที ตามนโยบายของ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.”
หลังจับกุมขยายผลได้นำตัวพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สน.บางโพ ดำเนินคดีต่อไป
