หญิงรายหนึ่งได้ร้องเรียนมายังเพจโหนกระแส ว่าสามีไปคบหากับชายอื่น จนต้องหย่ากัน อีกทั้งไปสร้างหนี้สินจนบ้านที่กู้ร่วมกำลังจะโดนยึด ขาดการติดต่อ แม้พ่อเขาเองป่วยหนัก เขาก็ยังไม่ติดต่อมา
หญิงผู้ร้องเรียน เล่าว่า ตนกับอดีตสามีคบหากันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย จนทำงานก็ทำงานด้วยกัน อยู่ที่เดียวกันมาตลอด ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน อยู่กินและแต่งงานในปี 2556 จดทะเบียนสมรสปี 2557 มีลูก 2 คน ที่ผ่านมาเขาเป็นสามีที่ดีมาก และเป็นที่รักใคร่ในที่ทำงาน พื้นฐานเขาเป็นคนดี ดูแลครอบครัวดี แม้กระทั่งครอบครัวตนก็รักเขาทุกคน
เหตุการณ์เริ่มผลิกผันช่วงก่อนโควิดระบาด ค่าใช้จ่ายในครอบครัวเริ่มมากขึ้น เงินไม่พอ เขาเลยออกไปทำงานที่อื่นเพื่ออัปเงินเดือน แต่วันหนึ่งเขาขอแยกห้องนอน อ้างว่ากลัวจะเอาโควิดมาติดลูก ตอนนั้นลูกคนเล็กอายุประมาณ 2-3 ขวบ
ช่วงก่อนหย่า 1 ปี เขาเริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆ คือติดโทรศัพท์ หวงโทรศัพท์ พอตนจับปุ๊บเขาจะกระชากออกอย่างแรง เลยจับสังเกตมาตลอด ตนรู้รหัสผ่านของเขา ช่วงที่ Work from home 9oจะสแกนเข้าคอมฯ ก่อน เลยเห็นความเคลื่อไหว และเห็นว่าเขาคุยกับผู้ชายคนอื่น ซึ่งตนก็อึ้ง! เพราะตอนแรกคิดว่ามีหญิงอื่น ตอนเขาอาบน้ำตนแอบดูมือถือก็เห็นประวัติดูคลิปชาย-ชาย ใช้แอปฯ หาคู่ชาย-ชาย
จากการค้นดู พบว่ามีชายคนหนึ่งที่เขาดูรักมาก ทุ่มเทให้ทุกอย่าง ตอนนั้นเขาน่าจะคบกันได้เกือบปี แต่อีกฝ่ายดูตีตัวออกห่าง ซึ่งตนคิดว่าเพราะเหตุนี้ สามีเลยมีการไปเล่นแอปฯ หาคู่ ไปนัดเจอกับคนอื่นๆ ไปซื้อบริการโดยนัดเจอตามปั๊มน้ำมัน
ตนทนนิ่งอยู่ซักพัก แต่มาทนไม่ได้เพราะวันหนึ่งไปเจอว่า สามีมีการกินยาต้าน HIV มีการค้นว่าหากกินยานี้แล้วจะติด HIV หรือไม่ ตนเลยคิดเรื่องหย่า ก่อนหน้านั้นเขาอ้างว่ากลับบ้านช้าเพราะเคลียร์งาน แต่จริงๆ ไปหาชายคนนั้น ตนเลยคิดว่าเขาคงไม่เอาลูก ไม่ครอบครัวแล้ว วันที่รับไม่ได้จริงๆ ตนได้บอกกับครอบครัวตัวเอง แล้วก็มีการไปตามที่บ้านชายบุคคลที่สาม ที่บ้านเลยมีการพูดคุยกัน เขาจนด้วยหลักฐาน ก็ยอมหย่าโดยดี ซึ่งตนก็ไม่ได้ต้องการอะไร แค่ต้องการหย่า และขอสิทธิ์เลี้ยงดูลูก
ตนและอดีตสามีมีบ้านที่ซื้อร่วม (สามีเงินเดือนมากกว่า) แต่ตนก็ขายที่ดินมรดกมาดาวน์บ้าน จึงมีการทำข้อตกลงสัญญาการหย่า โดยเขามีสิทธิ์อยู่ พ่อเขาก็มีสิทธิ์อยู่ เพราะพ่ออดีตสามีช่วยดูแลลูกๆ ตนมาตลอด และตนต้องการให้บ้านเป็นมรดกของลูก จริงๆ ตอนกู้บ้านตนรู้อยู่แล้วว่าเขามีคนอื่น แต่คิดในแง่ดีว่าเขาอาจกลับมาได้ แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ นอกจากนี้ ตนขอค่าเลี้ยงดูลูกแค่เดือนละ 5,000 สำหรับลูก 2 คน
เขาทำตามข้อตกลงได้ประมาณครึ่งปี เรื่องผ่อนบ้าน เรื่องค่าเลี้ยงดูลูก แล้วเขาก็ออกไปจากบ้าน โดยที่ตนไม่ได้ไล่ ตนไม่ค่อยได้ติดตามชีวิตเขา บางทีเขาจ่ายเงินไม่ครบ แต่ก็ไม่ได้ตามอะไร
จนมาทราบว่าเขามีปัญหาที่ทำงาน ลา สาย จนถูกปลดออกจากตำแหน่งที่เงินเดือนเยอะ พอรายได้ลดลง เงินเลยไม่พอใช้ ประกอบกับเขาไปออกรถยนต์ เลยตัดค่าใช้จ่ายฝั่งตนออก
ตนเคยไปแจ้งความ เพราะเขาหายไปเลย ไม่ติดต่อเลย จนพ่อเขากังวลว่าจะเป็นอะไรไป แต่ไม่กี่วันเขาก็กลับมา แต่แล้วก็ออกไปอีก เป็นแบบนี้ตลอด ภายหลังทราบว่าเขาออกจากงานที่เดิม ไปทำงานอีกแห่ง ตนก็พาพ่อเขาไปหา เพราะเขาไม่ติดต่อเลย ตอนแรกทางหัวหน้าเขาไม่ให้เข้าพบ บอกว่าต้องมีใบแจ้งความ เลยไปแจ้งความครั้งที่ 2 เพื่อให้พ่อเขาได้เจอ จะได้สบายใจ
ตอนเจอกัน ตนสังเกตสภาพร่างกายเขาดูไม่ดี เหมือนป่วย และทราบว่าเขาเป็นหนี้บัตรเครดิต และหนี้อื่นๆ หลักล้าน ตนจึงถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่ติดต่อ เขาบอกว่าอายที่ไม่สามารถทำตามข้อตกลงได้ ตนเลยบอกว่างั้นมาทำความเข้าใจกันใหม่ มีเท่าไหร่ก็ให้ลูกเท่านั้น และให้ติดต่อหาลูกด้วย เพราะก่อนหน้านั้นเขาไม่ติดต่อแม้กระทั่งกับลูก จนลูกเขียนจดหมายหา แต่เขาก็ติดต่อมาเป็นพักๆ แล้วก็หายไปอีก
ต่อมา เขามีหนี้ก้อนหนึ่งที่ไม่ชำระจนโดนบังคับขายทรัพย์ คือบ้านหลังที่อยู่ ที่ต้องการให้เป็นทรัพย์มรดกให้ลูก ซึ่งระยะหลังตนผ่อนมาตลอดทุกเดือน ไม่เคยค้าง ตนเลยไปกู้หนี้ยืมสินมาเคลียร์เฉพาะหน้า เพื่อไม่ให้บ้านโดนยึด แล้วไปบอกกับเขาว่าไปยืมใครมาบ้าง เพื่อให้เขาชดใช้ แต่เขาก็จ่ายไม่ครบอีก
ล่าสุด ตนติดต่อเขาไม่ได้ ตั้งแต่ช่วง ต.ค. 2567 ซึ่งระหว่างนี้พ่ออดีตสามีอยู่กับตน ตนดูแลตลอด พ่อเขาก็ไม่อยากกลับบ้านต่างจังหวัด เพราะเลี้ยงหลานดูแลหลาน อยากยู่กับหลาน
กระทั่ง ก.พ. ที่ผ่านมา พ่อเขาเริ่มไม่สบาย ก่อนจะตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง พ่อเขาเลยขอกลับไปอยู่กับลูกสาวที่ต่างจังหวัด
จริงๆ ตนไม่คิดจะติดต่ออดีตสามี อยากจะใจร้ายใจดำ แต่พ่อเขาได้ส่งข้อความมาหาตน ขอให้ช่วยติดต่อลูกชายเขาให้หน่อย เพราะพ่อเหลือเวลาไม่มาก ตนเลยติดต่อผ่านหัวหน้างานที่เคยไปเจอ เพื่อบอกว่าพ่อเขาป่วยหนัก ทางหัวหน้าบอกจะตามให้
หลังจากนั้น อดีตสามีไปบอกหัวหน้าว่าติดต่อพ่อแล้ว แต่พอถามพ่อ พ่อบอกไม่ได้ติดต่อ จนพ่ออาการทรุด ลูกสาวที่เป็นพยาบาลก็มาขอให้ตนช่วยติดต่ออีก บอกว่าอยากให้มีการเคลียร์ใจกันก่อนพ่อจะเสียชีวิต ตนก็รับปากช่วย
ขณะเดียวกันก็มีหนี้ก้อนใหม่มา ช่วงนั้นมีมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ ตนเลยพยายามติดต่อไปเพื่อให้มาไกล่เกลี่ย ก็ติดต่อผ่านหัวหน้าอีก หัวหน้าบอกว่าเขาอยู่ถึง 2 ทุ่ม ตนไปรอตั้งแต่ 6 โมง จน 3 ทุ่ม ก็ไม่เจอ ก่อนหัวหน้าจะมาบอกว่าน่าจะกลับไปแล้ว
ตนเลยไปตามที่อะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง รปภ. ได้ขอรูปพ่อไป เพื่อเอาขึ้นไปให้เขาดู ขึ้นไปนาน แต่พอลงมา รปภ. กลับบอกว่าคนนี้ไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งตนคิดว่าเขาน่าจะอยู่ แต่ไม่อยากเจอตนมากกว่า
วันต่อมา ตนถามหัวหน้าอีกว่าเขาไปทำงานไหม ทางหัวหน้าเขาให้ดูแชต ปรากฏว่าอดีตสามีบอกกับหัวหน้าว่า ตนไปตามก่อกวนราวีเขา ตนเลยพาลูกๆ ไปรอที่อะพาร์ตเมนต์อีกครั้ง แล้วถามลูกว่ามีอะไรจะเขียนถึงพ่อไหม ลูกก็เลยเขียนจดหมายฝากไว้
เรื่องบ้าน ตนพยายามจะเอาชื่อเขาออกจากการกู้ร่วม แต่ทำไม่ได้ เพราะฐานเงินเดือนตนน้อยกว่า เลยไม่ผ่าน ตอนนี้นอนระแวงทุกคืนว่าหมายจะมาวันไหน
ที่ผ่านมาเขาเอาเงินไปเปย์ผู้ชาย ไปลงทุนต่างๆ แล้วโดนโกง ในขณะที่ตนพยายามทำงานหาเงินทุกอย่าง ไปทำอาชีพเสริม ตอนนี้คาดว่าเขาน่าจะคบกับผู้ชายคนใหม่ เพราะลูกบอกว่า ตอนโทรคุยพ่อเรียกคนนั้นว่า “ที่รัก”
สิ่งที่ตนต้องการตอนนี้คือ 1. ต้องการให้เขากลับมารับผิดชอบหนี้สิน หากบ้านโดนยึด พวกตนจะไปอยู่กันที่ไหน และ 2. อยากให้โทรหาพ่อเขา เพราะพ่อเขาป่วยหนัก พ่อก็น้อยใจว่าทำไมลูกไม่ติดต่อเลย