ชายผู้เสียหาย ซึ่งเป็นนักร้องร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านบางบอน กทม. เปิดเผยเรื่องราวที่ตนเองถูกรุมทำร้าย โดยระบุว่า เหตุเกิดเมื่อวันที่ 3 พ.ค. ที่ผ่านมา คู่กรณีเป็นลูกค้าที่ตนเคยเห็นว่ามานั่งกินดื่มประจำ วันนั้นเข้ามาตอน 4 ทุ่ม ในสภาพที่เมามาจากที่อื่นแล้ว
ก่อนเกิดเหตุ ตนก็ร้องเพลงอยู่ตามปกติ สักพักผู้กองก็ขอขึ้นมาร้องเพลง ตนก็ให้ขึ้นมาร้อง ผู้กองร้องเพลงช้า ยุค 90 สักพักลูกค้าคนอื่นก็ขอเพลงสนุกๆ ดีเจเลยบอกว่าต้องให้ตนร้อง ตนกลับขึ้นไปร้อง ผู้กองก็กลับลงไปนั่ง พอตนร้องได้ 2 เพลงก็หมดเวลา
ขณะที่ตนเก็บของ กำลังจะกลับบ้าน หันมาเจอกับผู้กอง พร้อมชายฉกรรจ์อีก 6 คน เดินเข้ามาแล้วถามว่า “มึงกวนตีxหรอ” ตนก็บอกว่า “ผมกับพี่ไม่รู้จักกัน แล้วผมไปกวนตีxอะไรพี่” จากนั้นผู้กองก็ชกเข้าที่หน้าตนทันที แล้วกลุ่มลูกน้องก็เข้ามารุมทำร้ายตน โดยหนึ่งในนั้นใช้สนับมือ พอกลุ่มผู้ก่อเหตุกลับออกไป ลูกน้องก็ยังย้อนกลับมารุมทำร้ายตนอีก และยังพูดด้วยว่า “ยังกระทืบไม่มันตีxเลย” กระทืบตนจนกระอักเลือด เลือดออกหูออกจมูก กระทั่งมีนักร้องหญิงเข้ามาห้าม บอกว่าพอแล้ว เดี๋ยวพี่เขาตาย
จากนั้น มีเด็กในร้านโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่กู้ภัย พอกู้ภัยมาถึง ลูกน้องผู้กองก็กลับมาอีก มาถามกู้ภัยว่าจะพาตนไปไหน ยังกระทืบไม่มัน กู้ภัยก็ต้องช่วยกันห้าม และนำตนส่ง รพ. แพทย์ตรวจพบว่ามีอาการสมองบวม มีเลือดออก กระดูกเบ้าตาหัก
หลังออกจาก รพ. ตนได้เข้าแจ้งความที่ สน.บางบอน พอเจอกับ ผกก.สน.บางบอน เขาก็บอกว่าผู้กองเป็นคนดี อีกไม่กี่เดือนก็จะเกษียณแล้ว ไม่น่าทำ ตนคิดว่า ผกก. เพิ่งย้ายมา อาจจะไม่รู้พฤติกรรม เลยบอกให้เรียกเจ้าตัวมาสอบถาม แล้วก็มานั่งคุยกันในห้องเจรจา ตนก็ถามผู้กองว่ามาทำตนทำไม ไม่รู้จักกัน ผู้กองปฏิเสธ ยืนยันว่าไม่ได้ทำ ตนเลยท้าให้สาบาน ผู้กองเลยลุกขึ้นสาบาน บอกขอให้โคxรพ่อโคxรแม่มีอันเป็นไป
ผกก. ถามตนว่ามีหลักฐานไหม แต่ตนไม่มีหลักฐาน เนื่องจากที่ร้านบอกว่า กล้องวงจรปิดไม่มีเซิร์ฟเวอร์ แต่ตนเชื่อว่ามีการใช้อิทธิพลในการไปทำลายหลักฐาน เพราะก่อนหน้านี้ที่เคยไปทำงาน เจ้าของร้านยังเคยพูดว่า รู้ว่าตนมาถึงร้านแล้วเพราะดูจากกล้องวงจรปิด
ตอนนั้นตนเลยโทรหานักร้องหญิงคนที่เข้ามาช่วยห้าม ซึ่งเขาก็ยืนยันว่า ผู้กองเป็นคนตบ ผู้กองเลยรับสารภาพ แต่บอกว่าไม่ได้ทำอะไร แค่ตบไปทีเดียว ทาง ผกก. บอกว่าจะให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย ตบทีเดียว ก็จ่ายทีเดียว และแผลที่เห็นมันก็ไม่ใช่แผลจากการตบ
ตอนนั้นตนไม่ยอมให้จบด้วยการจ่ายเงิน แต่ระหว่างคุยตนอาเจียนเป็นเลือด เลยให้กลับก่อน แต่หลังจากวันนั้น เขาพยายามส่งคนมาไกล่เกลี่ย ทั้งตำรวจและคนรู้จักตน เสนอว่าจะจ่ายค่ารักษา แต่ไม่ได้บอกตัวเงิน จนเจ้าของร้านอาหารโทรมาหาตน บอกว่าอยากช่วย 40,000 บาท ตนก็สงสัยว่าจะช่วยทำไม ในเมื่อเจ้าของร้านไม่เกี่ยว ตนรู้ทันทีว่าเงินนี้มาจากไหน เลยไม่รับเงิน ทั้งนี้ ตัวผู้กองยังไม่เคยมาขอโทษ ไม่เคยมาเยี่ยมตนเลย
ตอนนี้ตนต้องการความยุติธรรม อยากให้คนที่ทำได้รับกรรมของตัวเอง เพราะรู้มาว่ามีพฤติกรรมทำตัวมีอิทธิพลในพื้นที่ มีลูกน้องเยอะ เวลาเมาก็มักจะไปทำร้ายคนอื่น แล้วจบที่ให้เงิน 10,000-20,000 บาท โดยวันแรกที่ไปคุยกัน ตนบอกแล้วว่าถ้ามาคุย รับสารภาพ ยังจะคุยกันได้ แต่หลังจากนี้ถ้าไม่สนใจก็ขอไม่คุยกันแล้ว จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
ด้าน ‘พ.ต.อ.ธนะเมศฐ์ วิจิตรจริยา’ ผกก.สน.บางบอน ชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า เหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 3 เข้าวันที่ 4 พ.ค. ช่วงหลังเที่ยงคืน วันเกิดเหตุยังไม่มีการแจ้งเหตุเข้ามาที่โรงพัก เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ทราบว่ามีเหตุนี้ จนกระทั่งวันที่ 7 พ.ค. ก็มีการประสานว่าผู้เสียหายจะเข้ามาแจ้งความเรื่องที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางบอน ทำร้ายร่างกาย ตนก็บอกไปว่ายินดี ให้มาเลย จะช่วยจัดการให้ เรื่องราวเป็นอย่างไรให้มาบอก
จากนั้น ผู้เสียหายก็เข้ามากับทีมงานประมาณ 4-5 คน ตนก็เลยให้เล่าเรื่องราว เขาก็เล่าว่าเขาเป็นนักร้อง ร้องเพลงอยู่ แล้วมีปัญหากับตำรวจที่ชื่อ... ตนก็ถามว่า ...ไหน เขาเลยเอารูปให้ดู ตนก็บอกว่าใช่ คนนี้คือตำรวจของ สน.บางบอน ตนเลยบอกให้รอ และเรียกผู้กองเข้ามาคุยกันวันนั้นเลย
พอผู้กองเข้ามา ตนก็ให้เล่าเหตุการณ์ ทราบว่าวันนั้นไปที่เกิดเหตุจริง แล้วมีการกระทบกระทั่ง ผู้กองบอกว่าต่อยหรือผลักไป 1 ครั้ง แล้วก็กลับ เขาไปกับเพื่อน แต่ไม่รู้จักกลุ่มที่ทำร้าย
โดยนิสัยที่ตนเห็นผู้กอง หลังเข้ามารับตำแหน่งได้ประมาณ 3 เดือน แล้วได้เจอได้สัมผัส ผู้กอง อายุ 59 ปี กำลังจะเกษียณ ไม่เคยมีได้ยินข่าวว่ามีพฤติกรรมเหมือนเป็นนักเลง กร่าง หรือมีข่าวว่าจะไปข่มเหงชาวบ้าน
วันนั้นตนก็ต้องฟังความทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งสภาพร่างกายของผู้เสียหายวันนั้นก็ชัดเจนว่ามีการทำร้ายกันแน่นอน ยังไงก็ต้องดำเนินคดีในส่วนนี้แน่ๆ ตนยังพูดกับเขาว่า ทำไมเขาทำร้ายกันขนาดนี้ อยากรู้สาเหตุของเหตุการณ์ ตนเลยให้ร้อยเวรมาสอบปากคำทันที ตอนนั้นผู้เสียหายมีเลือดออกทางจมูก เลยบอกให้ไปหาหมอก่อน หายดีแล้วค่อยมาพบ ไม่ต้องห่วง ตนให้ความยุติธรรมอยู่แล้ว ใครทำอะไรแค่ไหน รับผิดแค่นั้น นี่คือคำพูดของตน ถ้าเขาทำจริงมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มนี้จริง เราดำเนินคดีอยู่แล้ว ตนปล่อยไม่ได้ แต่วันนี้พอมีข่าวออกไป ตนกลับกลายเป็นผู้กำกับที่ดูแย่ในสายตาชาวบ้าน ในสายตาผู้บังคับบัญชา
การดำเนินคดีตอนนี้ มีการสอบปากคำผู้เสียหายไปแล้ว และส่งไปตรวจร่างกายเพื่อให้แพทย์ยืนยันผลว่าเป็นการถูกทำร้ายร่างกายระดับไหน ซึ่งจากสภาพบาดแผล ก็คงเข้าข่ายได้รับบาดเจ็บสาหัส นอกจากนี้ อยู่ระหว่างตามสอบปากคำพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ให้ครบทุกคน และตนสั่งการให้ฝ่ายสืบสวนไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดตั้งแต่วันที่ผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความ แต่ปรากฏว่าที่ร้านมีปัญหาเรื่องกล้องจริงๆ ไม่ใช่ว่าตำรวจไปลบเซิร์ฟเวอร์
“ผมไม่ได้เลวขนาดนั้น ผมไม่ปกป้องคนผิด ผมไม่ทำอยู่แล้ว ทำไมผมต้องไปทำแบบนั้น เราต้องให้ความยุติธรรมกับประชาชนอยู่แล้ว” ผกก.สน.บางบอน กล่าว
ยืนยันว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะไปปกป้อง มันปกป้องไม่ได้ เพราะเห็นอยู่ว่ามีบาดแผล มีการถูกทำร้าย แล้วตนจะปล่อยให้คนที่ผิดเดินลอยนวลหรอ แล้วสังคมจะอยู่อย่างไร เราเป็นตำรวจต้องทำหน้าที่ของเรา
สำหรับคลิปเสียงที่ผู้เสียหายนำมาเปิดเผยกับสื่อ ยอมรับว่าเป็นเสียงตนพูดจริง แต่เป็นการพูดคุยเพื่อที่จะไกล่เกลี่ย ว่าเขาบาดเจ็บแล้วมีใครไปดูแลเรื่องค่ารักษาพยาบาลไหม เราจะช่วยดูแลตรงนี้ให้ ถ้าผู้กองเกี่ยวข้องก็ให้มาดูแลเขา แล้วเรื่องคดีให้ว่ากันไปตรงไปตรงมา ส่วนคำพูดที่ว่า “ตบทีเดียว ก็จ่ายทีเดียว” ตนหมายถึงว่า ทุกคนทำอะไรต้องรับผิดชอบ เจตนากระทำผิดแค่ไหนก็รับผิดแค่นั้น มันเป็นหลักอยู่แล้ว
ทั้งนี้ หากการขยายผลไปพบว่ามีการสั่งการให้ทำร้ายจริงๆ ก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่แค่ผลักครั้งแรก อันนี้ก็เป็นการกระทำของเขา ซึ่งเป็นหน้าที่ของตำรวจอยู่แล้วที่ต้องตรวจสอบให้ได้ความจริง เพราะสุดท้ายคดีจะต้องขึ้นสู่ศาล ไม่ได้จบที่ชั้นตำรวจ ศาลจะเป็นคนตัดสิน ตนแค่มีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด
เรื่องคลิปเสียงก็เป็นการแอบอัดเสียง ไม่ได้ขอ มาแอบถ่ายรูป ไม่ได้บอกตน จริงๆ ตนไม่ได้มีอะไร พูดกันแบบตรงไปตรงมา
เมื่อถามว่า ติดใจเรื่องที่ถูกแอบอัดเสียงหรือไม่ ผกก.สน.บางบอน กล่าวว่า เขาไม่เป็นลูกผู้ชาย ตอนแรกจะถ่ายวิดีโอ ตนก็บอกว่าถ่ายได้ แต่กลับมาแอบอัดเสียงแบบนี้มันไม่ใช่ แต่ตนก็ไม่ได้ว่าเขา เพราะความเป็นลูกผู้ชายมันไม่เท่ากันอยู่แล้ว แต่พออัดเสียงแล้วกลับเอาไปออกสื่อ ตนอยากถามว่าตนไม่ใช่คู่กรณี ทำไมต้องมาโจมตีกัน มันไม่แฟร์ ทั้งที่ตนเจตนาจะช่วยทำคดีให้ดีที่สุด ทำอย่างตรงไปตรงมา นี่คือสิ่งที่ตนได้รับหรือ
ส่วนกรณีที่ผู้เสียหายกล่าวอ้างว่าผู้กองเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่บางบอน และมีลูกน้องหลายคนนั้น จริงๆ ตนเพิ่งมารับตำแหน่งได้แค่ 3 เดือน แต่ผู้กองอยู่มาหลายปี ย่อมต้องมีพรรคพวกคนรู้จักในพื้นที่เป็นเรื่องธรรมดา เพราะต้องหาข่าว แต่ตนยังไม่รู้จักใคร ก็พยายามเก็บข้อมูลหาข้อมูลอยู่ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร
ซึ่งจริงๆ ตนก็เชื่อสิ่งที่ผู้เสียหายบอก ตนฟังเขาเพราะผู้เสียหายกับผู้กองไม่มีประเด็นขัดแย้งกันมาก่อน อยู่ๆ คงไม่มากล่าวหา เขามีเหตุผลที่ถูกทำร้ายแล้วมาแจ้งความ ตนก็เชื่อว่าเขาถูกทำร้ายจริง แต่ปัญหาคืออยู่ที่ว่าคนที่ทำร้ายคือใครบ้างในวันที่เกิดเหตุ ซึ่งกำลังสืบสวนสอบสวน และต้องนำตัวคนทำมาดำเนินคดีอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม การที่ผู้กองเองก็อยู่ฝ่ายสืบสวน ก็เป็นสิทธิ์ที่ใครๆ จะคิดได้ว่า เขาจะมีอิทธิพลในพื้นที่ สามารถทำนู่นทำนี่ได้ แต่ยืนยันว่า ถ้าตนยังทำงานอยู่ที่นี่ ตนตรงไปตรงมาแน่นอน แม้จะไม่มีกล้องวงจรปิดในบริเวณเกิดเหตุ แต่ได้สั่งการให้ตรวจสอบบริเวณโดยรอบทั้งหมด และสอบปากคำพยานทุกคน เชื่อว่าจะได้ข้อมูลที่สามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้ หรือหากผู้เสียหายมีพยานหลักฐานใดก็สามารถนำมามอบให้ได้ ยินดีนำเข้าสู่สำนวน ไม่มีหมกเม็ด ไม่มีปิดบัง ไม่มีช่วยเหลือ
สำหรับตัวผู้กอง หลังเกิดเหตุก็ยังมาปฏิบัติงานอยู่ แต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคุณพ่อเขาเสียชีวิต จึงลากลับไปประกอบพิธีทางศาสนา หลังจากนี้ก็ต้องมีการให้มาสอบปากคำโดยละเอียดประกอบสำนวนคดี