.
จากกรณีเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่ประชุม ก.ตร. มีมติเอกฉันท์เห็นชอบกับผลสรุปการสอบสวนของคณะอนุกรรมการข้าราชการตำรวจเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัย (อนุ ก.ตร.) เรื่องให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน ชอบด้วยกฎหมายนั้น
.
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เปิดเผยว่า สำหรับอำนาจหน้าที่ของ อนุฯ ก.ตร. จะไม่มีอำนาจในการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ของข้าราชการตำรวจ ดังนั้น ตนจึงได้ไปยื่นเรื่องกับคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ หรือ ก.พ.ค.ตร. ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา
.
ส่วนกรณีของการจะนำเอามติของคณะอนุ ก.ตร. มาใช้เพื่อยืนยันการกระทำของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. (รรท.ผบ.ตร. ขณะนั้น) ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ตนต้องถามว่าคณะอนุ ก.ตร. มีอำนาจในเรื่องนี้ด้วยหรือ ในเมื่อเขาพิจารณาเรื่องอำนาจของ ผบ.ตร. ได้อย่างเดียว
.
ส่วนถ้าจะบอกว่ามีอำนาจตามมาตรา 131 (1) หากไปดูในข้อกฎหมาย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พยายามพูดแค่ ม.131 แต่ไม่พูดถึง ม.120 ทั้งที่ ม.131 มี (6) เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการสั่งพักราชการไว้ก่อน และสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน โดยให้รอฟังผลการสอบสวน อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ มีความลักไก่ พูดไม่ครบและเร่งรีบ ไม่ดูว่ากฎ ก.ตร. พ.ศ. 2547 มันขัดกับ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ขัดกับมาตรา 120 เนื่องจาก กฎ ก.ตร. พ.ศ. 2547 แม้ให้อำนาจ ผบ.ตร. สั่งให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อนได้ แต่ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ระบุชัดเจนว่าต้องฟังผลการสอบสวนของคณะกรรมการการสอบสวนวินัยก่อน
.
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เผยอีกว่า การที่ตนเองถูกคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีความเห็นเสนอแนะของคณะกรรมการกฤษฎีกา ระบุตอบกลับนายกรัฐมนตรีว่า คำสั่ง ตร. ที่ให้ตนเองออกจากราชการนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นข้อสังเกตได้ว่าความเห็นในส่วนของกฤษฎีกา ศาลจะใช้รับฟังได้ อีกทั้งหากย้อนไปก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีก็เคยกล่าวว่า คำสั่งไม่สมบูรณ์ จึงไม่มีการนำขึ้นกราบบังคมทูล และส่งหนังสือกลับให้ ผบ.ตร. เท่ากับว่านายกฯ ยืนยันด้วยตัวเองแล้วว่า “คำสั่งมันไม่ถูกต้อง”
.
อย่างไรก็ตาม กรณีเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. ปรากฏว่านายกฯ กลับไปนั่งเป็นประธาน ก.ตร. ในที่ประชุม ทั้ง ๆ ที่บอกเองว่าคำสั่งที่ตนเองโดนนั้นมันยังไม่สมบูรณ์ แต่พอที่ประชุมมีมติ 12:0 กลับไปรับรองมติ และไม่คัดค้าน ไม่ยกเอาความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกามาประกอบหารือ ทั้งยังไม่เลื่อนวาระนี้ออกไปก่อน เพราะความจริงแล้ว นายกฯ สามารถแจ้งที่ประชุมได้ว่าจะต้องรอผลการสอบสวนของ ก.พ.ค.ตร. ที่มีกรอบระยะเวลา 30 วัน ก่อนค่อยมาหารือกัน แบบนี้ตนเรียกว่า “กระทำความผิดโดยสำเร็จแล้ว”
.
ดังนั้น ต่อจากนี้ตนจะเดินหน้าดำเนินคดีคนที่กระทำความผิด รวมถึงการฟ้องนายกฯ และที่ประชุม ก.ตร. ทั้ง 12 เสียง ตนยืนยันว่า ต้องเดินหน้าหาความยุติธรรม ตนไม่ได้จะเป็นศัตรู ไม่ได้จะท้ารบกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) แต่การลงมติ 10 กว่าคนนี้ในที่ประชุม มันเป็นเรื่องความถูกและความผิด จะทำอะไรก็ต้องดูอำนาจของหน่วยตัวเองด้วย สถานการณ์ตอนนี้มันเหมือนการเล่นตะกร้อ ชงเองเล่นเอง ทั้งนี้ ภายในสัปดาห์หน้าอาจเดินเรื่องฟ้อง คณะที่ประชุม ก.ตร. แต่ตนขอเวลาอ่านเอกสารก่อน
.
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เผยต่อว่า ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.วินัย ทองสอง ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ออกมาติติงเรื่องตำรวจดีตำรวจชั่ว อาศัยเครื่องเเบบแสวงประโยชน์ และประชาชนจะได้รู้ความจริงทั้งหมดในตอนแถลงต่อศาล ว่า ตนไม่ได้รู้สึกสะกิดใจอะไร แต่ที่ฟ้องร้องท่าน ก็เนื่องด้วยท่านมีการหมิ่นประมาท หากท่านจะแฉอะไรก็แฉมาเลย แต่ต้องเข้าใจให้ถูกประเด็นก่อน เพราะถ้าสอบสวนแล้วพบอะไรก็ว่าไป แต่ขอแจ้งว่าท่านไม่ใช่ศาลไม่มีสิทธิพิจารณาคดีหรือวินิจฉัยคดี ตนอยากให้ท่านพูดให้สื่อฟังเลยว่าใครผิดใครถูกยังไง แต่ต้องพูดให้ครบ อย่าพูดด้านเดียว อย่าพูดเหมือนพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่พูดอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนถ้าจะต้องฟ้องก็ฟ้องกันไป หากตนชั่วอะไรก็เผยมาเลย ตอนนี้อะไรก็ได้ รับได้หมด ส่วนที่มีบุญคุณรักใคร่ต่อกันมาก่อนนั้น เคยช่วยประสานงานกัน ตนไม่ถือเป็นบุญคุณอะไร เพราะเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ในเมื่อวันนี้มันกระทบสิทธิของตน ก็ต้องเดินหน้าดำเนินคดี ถ้าหมิ่นอีกก็ฟ้องอีก
.
“กรณีทำไมชื่อของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ชอบมีเรื่องกับผู้บังคับบัญชานั้น ตนต้องถามกลับว่าทำไมตนจึงถูกรังแกมาทั้งชีวิตมากกว่า เพราะถ้าอายุเกษียณราชการเหลือแค่ปีเดียว ก็คงไม่มีใครมารังแก แต่อาจเพราะว่าเหลืออายุเกษียณราชการหลายปี และยังเป็นผู้อาวุโสอันดับ 1 ทำงานตรงใจประชาชน เหมือนยาสามัญประจำบ้าน ตนจึงถูกกระทำแบบนี้” รอง ผบ.ตร. ตัดพ้อ
.
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุอีกว่า ตนมั่นใจว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากผลการสอบสวนของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) เพราะยังไม่เห็นเรื่องหนักใจอะไร ส่วนถ้าผลจะเป็นคุณหรือเป็นลบก็รอดู หากผลเป็นลบ ตนก็จะใช้สิทธิยื่นศาลปกครองสูงสุด แต่ถ้าผลของศาลปกครองสูงสุดยังเป็นลบกับตนอีก ตนก็จะยอมจบ
.
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุต่อว่า กรณีที่นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ที่ประชุม ก.ตร. ยังไม่ได้นำคำสั่งให้ตนเองออกจากราชการไว้ก่อนขึ้นกราบบังคมทูลฯ เพราะต้องรอมติ ก.พ.ค.ตร. คาด 30 วันรู้ผล พร้อมย้ำว่าจะให้ความเป็นธรรมทุกฝ่ายนั้น ตนมองว่าเป็นเพียงวลีและวาทกรรมเท่านั้น เพราะถ้าเป็นอย่างที่นายกรัฐมนตรีกล่าวจริง ทำไมในที่ประชุมเมื่อวานนี้ นายกฯ จึงไม่คัดค้านว่าคำสั่งไม่สมบูรณ์แต่กลับไปรับรองลงนาม ตนไม่ใช่ไม่เชื่อในการให้ความเป็นธรรมของนายกรัฐมนตรี แต่ท่านบอกจะให้ความเป็นธรรม แต่การปฎิบัติมันไม่ใช่ นอกจากนี้ มีเหตุการณ์ที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เคยเดินทางเข้าพบนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลตนไม่แน่ใจว่าพฤติการณ์เช่นนี้เข้าข่ายสมคบสนับสนุนหรือไม่ อาจต้องไปดูตรงนี้ พร้อมขอให้เห็นใจตนตนเองด้วย หากท่านจะพูดอะไรก็พูดได้ แต่ตอนนี้เป็นเหมือนแค่วาทกรรมเท่านั้น เหมือนกับที่ท่านบอกว่าจะปราบปรามหนี้นอกระบบ แต่ทุกวันนี้ก็ยังคงเห็นชาวบ้านผูกคอเสียชีวิตอยู่เลย ควรทำให้เหมือนที่ผมทำ
.
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุปิดท้ายว่า ในวันพรุ่งนี้ 28 มิ.ย. เวลา 13.00 น. ตนจะเดินทางไปที่ศาลอาญา กรุงเทพใต้ เพื่อเดินหน้าฟ้องร้องต่ออดีตบิ๊กตำรวจ อักษรย่อ ต. ฐานเป็นกูรู ผู้รู้ดี รู้มาก แต่ไม่รู้จริง ทำให้ตนเสื่อมเสียชื่อเสียง