สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาในพื้นที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ยังคงตึงเครียดอย่างหนัก หลังเกิดเหตุปะทะอย่างต่อเนื่องตลอดคืนที่ผ่านมา ชาวบ้านต้องอพยพหนีเอาชีวิตรอดจากเสียงปืนใหญ่ที่ดังสนั่น โดยเฉพาะลูกกระสุน BM-21 จากฝั่งกัมพูชาที่ตกลงมาในหลายจุด รวมถึงบริเวณร้านสะดวกซื้อ สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง
ผู้สื่อข่าวรายงานจากศูนย์อพยพในอำเภอกันทรารมย์ ซึ่งขณะนี้มีประชาชนจากตำบลบึงมะลู อำเภอกันทรลักษ์ อพยพเข้ามาพักพิงแล้วกว่า 700 คน ศูนย์พักพิงถูกจัดตั้งกระจายอยู่ตามโรงเรียน วัด และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โดยใช้ครัววัดในการประกอบอาหารเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ให้ข้อมูลว่า ศูนย์อพยพยังประสบปัญหาขาดแคลนสิ่งของจำเป็น เช่น อาหาร สบู่ ยาสีฟัน ผ้าอนามัย นมเด็ก และผ้าอ้อมสำหรับเด็กเล็ก ซึ่งเป็นของใช้ที่จำเป็นเร่งด่วน
หนึ่งในผู้ลี้ภัย คือ หญิงชราวัย 88 ปี จากอำเภอกันทรลักษ์ เล่าว่าตนได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงให้หลานช่วยพาอพยพออกจากพื้นที่ทันที เนื่องจากรู้สึกหวาดกลัวมาก โดยกล่าวว่า ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองในชีวิตที่ต้องหนีตายจากเหตุปะทะ ครั้งแรกเมื่อปี 2554 ยังไม่รุนแรงเท่าครั้งนี้ เพราะครั้งนี้เสียงระเบิดรุนแรงกว่า ตนต้องวิ่งเข้าไปหลบในบังเกอร์กับชาวบ้าน ก่อนรีบหนีออกมา
หญิงอีกคน อายุ 37 ปี เปิดเผยว่า ตนรีบเดินทางกลับจากกรุงเทพฯ ทันทีหลังทราบข่าว เนื่องจากเป็นห่วงลูกชายวัย 1 ขวบ 3 เดือน และพ่อแม่ที่อยู่ในพื้นที่ เมื่อหนีออกมาก็แทบไม่ได้พาของติดตัว ทำให้ต้องพึ่งพาศูนย์พักพิงเป็นหลัก โดยระบุว่าศูนย์ขาดแคลนอย่างมาก โดยเฉพาะนมและผ้าอ้อมเด็ก
ขณะเดียวกัน ชาวบ้านอีกคน ให้ข้อมูลด้วยความตื่นตระหนกว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา ขณะอยู่บ้าน ได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังตลอดทั้งคืน จนหลังคาบ้านสั่นสะเทือน ด้วยความกลัวจึงตัดสินใจหนีออกมาทันที โดยระบุว่าขณะนี้พื้นที่กันทรลักษ์กลายเป็นเขตอันตรายเต็มรูปแบบ บ้านเรือนเงียบสงัดเหมือนเมืองร้าง เพราะไม่มีใครกล้าอยู่
ขณะที่เริ่มมีการยิงกัน ตนกำลังทำงานอยู่นอกบ้าน ต้องรีบกลับไปรับลูกจากโรงเรียน เก็บของจำเป็น แล้วหลบหนีโดยไม่ทันตั้งตัว เหตุการณ์ครั้งนี้รุนแรงกว่าปี 2554 อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สถานการณ์ยังไม่มีท่าทีจะคลี่คลายลง ชาวบ้านจำนวนมากยังต้องพึ่งพาศูนย์พักพิง และการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคเอกชนอย่างเร่งด่วน