จากกรณี สามีชาวจีน ไปร้องทนายษิทรา ว่าถูกภรรยาชาวไทย ที่มีลูกด้วยกัน หลอกหย่า ฮุบสมบัติ แอบไปมีชู้ หอบเงินเปย์ชู้ ทิ้งลูกทิ้งสมบัติ โยกทรัพย์เป็นชื่อตัวเอง จึงร้องขอความเป็นธรรม เนื่องจากตนรักเมืองไทย
ทีมข่าวเที่ยงวันทันเหตุการณ์ได้พูดคุยกับ ชายชาวจีน ได้แต่งงานกับภรรยาซึ่งเป็นคนไทย คบหากัน 7 ปี ก่อนจะจดทะเบียนสมรสได้ 3 ปี มีลูกด้วยกัน 1 คน เป็นผู้ชาย อายุ 2 ขวบ ตนอาศัยที่บ้าน กับครอบครัวมาเป็นระยะเวลายาวนาน
ต่อมา เมื่อเดือน มิถุนายน 2567 ตนกลับไปที่ประเทศจีน ภรรยาของตนเริ่มทยอยขนทรัพย์สมบัติที่หามาด้วยกันออกจากบ้านที่ประเทศไทย พอตนบินกลับมาที่ไทย ก็มีการทะเลาะกัน มีปากเสียงกัน เรื่องที่ภรรยาขนของออกจากบ้าน ภรรยาเริ่มไม่กลับมานอนที่บ้าน ซึ่งตนเองจำเป็นต้องบินกลับประเทศจีนบ่อย ทุกครั้งที่กลับมาไทย ก็จะมีทรัพย์สมบัติหายไปจำได้ว่าเงินสดตนเก็บไว้ในตู้เซฟ มี 13 ล้านบาท ทุกครั้งที่บินกลับมาประเทศไทยเมื่อไหร่ เงินจะหายไปเรื่อยๆ
ต่อมาเดือน กรกฎาคม 2567 ตนและภรรยากลับมาพูดคุยกันดี แต่ภรรยาได้ขอให้ตนเซ็นใบหย่าให้ โดยให้เหตุผลว่าจะไปสมัครเป็นนักการเมือง หากมีสถานะแต่งงานกับชาวจีน จะไม่สามารถลงสมัครเป็นนักการเมืองได้ (สส.) แต่ยังคงสถานะสามีภรรยา ตนจึงยอมตกลงไปเซ็นใบหย่าที่สำนักงานเขต
หลังจากนั้น ภรรยาตนก็เริ่มขนทรัพย์สินออกจากบ้านอีก ทำให้ตนเริ่มสงสัย แต่ก็ยังไม่กล้าถาม และเวลาที่ทะเลาะกันทุกครั้ง ภรรยาตนจะขู่ว่า จะไล่ตนกลับประเทศจีน ซึ่งทั้งๆที่ตนมีบัตรประชาชนประเทศไทย
ที่ผ่านมาตนซื้อทรัพย์สินร่วมกัน ภายใต้ชื่อภรรยา ทำให้แม่ของตนเกิดความเครียดกลัวว่าภรรยาจะเอาทุกอย่างไป และไล่ตนกับแม่กลับประเทศ
แม่ของตนมีธุรกิจครอบครัว(กงสี) เปิดโรงพยาบาลที่ประเทศจีน แม่ของตนไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ทำให้เขาตกใจมาก กินไม่ได้ นอนไม่หลับเพราะเป็นคนต่างชาติ มาอาศัยในประเทศไทย
เหตุการณ์เริ่มแย่ลง เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2567 ภรรยาขนทรัพย์สินแทบจะทุกอย่างออกจากบ้าน แม้กระทั่งเหล้า ตนจึงถามว่า จะขนของไปไหน ภรรยาบอกว่าจะเอาเสื้อผ้าไปซัก พอตนเดินไปดูที่ตระกร้าผ้า กลับพบนาฬิกาของตน ซึ่งตนและภรรยาซื้อด้วยกัน เป็นนาฬิกาหรูหลากหลายแบรนด์ ตนจึงไม่ยอมอีกต่อไป จึงเกิดการทะเลาะกันเกิดขึ้น
ขณะเดียวกัน แม่ของตน อุ้มลูกออกมา ซักพักหนึ่งก็มีรถคันหนึ่งขับเข้ามาที่บริเวณหน้าบ้าน จากนั้นมีผู้ชายเดินลงมากระชากของใส่รถภรรยาของตนที่จอดอยู่หน้าบ้าน ตนตกใจเป็นอย่างมากเลยถามเขากลับว่าเขาคือใคร แต่เขาไม่สามารถ พูดภาษาอังกฤษได้ และก็รีบขึ้นรถ คนละคันกับภรรยาตน
จากนั้น พยายามขับรถหนีตนพยายามเดินไปขวางรถ แต่ชายคนนั้นขับรถกระแทกที่ขาของตน แล้วถอยกลับขับหนีออกไป
ทำให้ตนเริ่มสงสัยว่าชายคนนั้นคือใคร จึงสืบหาตัว จึงทราบภายหลังว่า เป็นชายชาวไทย ทำอาชีพเปิดโรงเรียนการบินสอนขับระยะสั้น และเคยมาที่หมู่บ้านตน 2-3 ครั้ง เพราะแม่ของตนเคยเห็นว่าชายคนดังกล่าว ขับรถมารอบริเวณหน้าบ้าน รวมถึง เจ้าหน้าที่ รปภ. บอกว่าที่ให้เข้ามาเพราะเขาแจ้งว่า เป็นเจ้าของบ้านของตน และยังรู้อีกว่าชายคนดังกล่าวเป็นชู้กับภรรยาของตน มีการคบหากันไปพักอาศัยด้วยกันที่คอนโดแห่งหนึ่ง ย่านทองหล่อ ซึ่งคอนโดเป็นทรัพย์สินของตน ถือว่าเป็นการหยามศักดิ์ศรีของตนเป็นอย่างมาก
และยังพบภาพถ่ายต่างๆ ที่เขาไปไหนมาไหนด้วยกัน พากันไปซื้อรถใหม่ ทุกครั้งที่ภรรยากลับมาบ้านก็มีการต่อสายคุยกัน แจ้งความเคลื่อนไหวในบ้าน
หลังจากที่ทะเลาะกัน ตนถามว่าจะคืนของให้ตนและลูกหรือไม่ ให้มีชีวิตที่สงบสุขได้ไหม แต่ภรรยาไม่ยอม ตนไม่รู้จักใครในเมืองไทยจึงมาขอความ ช่วยจาก ทนาย ษิทรา เบี้ยบังเกิด เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับตนเองและครอบครัว ซึ่งพ่อของตนก็ทำงานในรัฐบาลที่จีน จึงมีความกังวลใจ แต่ตนรักเมืองไทย อยากขอความเป็นธรรมให้ตนและลูกด้วย เพราะภรรยาหลอกตนและเอาทรัพย์สินไปเป็นชื่อเขาทั้งหมด โยกทรัพย์ไปในชื่อต่างๆ จึงขอร้องขอความเป็นธรรมกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ที่มา : เที่ยงวันทันเหตุการณ์