รายการโหนกระแสวันนี้ พูดคุยหญิงสาวคนหนึ่ง มาร้องเรียนกับ ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง หลังถูกอดีตสามีและแม่สามี พรากลูกแรกเกิดไป โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดภายในบ้าน เผยให้เห็นเหตุการณ์ขณะสองสามีภรรยาโต้เถียงกัน โดยมีแม่ของฝ่ายชายอุ้มเด็กทารกอยู่ ขณะที่แม่ของฝ่ายหญิงนั่งอยู่ที่โซฟา ฝ่ายหญิงพยายามเข้าไปอุ้มลูก แต่ถูกแม่ฝ่ายชายและอดีตสามีขัดขวาง ทำให้เกิดการยื้อยุดฉุดกระชาก จนลากกันไปถึงหน้าบ้าน ฝ่ายหญิงพยายามแย่งลูกคืนแต่ถูกผลักและกันออกไปจนล้มลง เนื่องจากบาดแผลจากการผ่าคลอดเพียงหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้
คุณเอ ผู้เสียหาย อายุ 26 ปี เล่าว่า เธอรู้จักกับอดีตสามี ผ่านแอปฯ หาคู่ช่วงปลายปี 2566 มารู้หลังพูดคุยกันว่า ฝ่ายชายเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ส่วนเธอเป็นบัณฑิตปริญญาโทที่กำลังหางานทำ หลังจากพูดคุยกันสองเดือน ทั้งคู่ได้นัดพบกันครั้งแรกที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งฝ่ายชายมีพฤติกรรมชวนให้หารค่าใช้จ่ายทุกอย่าง แม้กระทั่งค่ารถไฟฟ้า VAT และเซอร์วิสชาร์จ แต่เธอไม่ได้ติดใจอะไร ตอนนั้นตัดสินใจแยกย้ายกันไป เลิกรากัน
ต่อมาตนลืมลิปสติกไว้ ณ ที่พักของฝ่ายชาย ตอนนั้นเลิกกันไปแล้ว ก็เลยขอให้เขาส่งไปรษณีย์มาให้ แต่เขาขอนัดเจอ นัดคืนของ พอกลับมาเจอหน้าก็เลยได้ติดต่อกันอีกครั้ง และพัฒนาความสัมพันธ์ กลับมาเป็นแฟนกัน
อดีตสามีย้ายเข้ามาอยู่กับเธอที่หอพักย่านสะพานพระราม 8 โดยเธอเป็นฝ่ายรับผิดชอบค่าหอพัก ค่าน้ำ ค่าไฟทั้งหมด ขณะที่ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แบ่งกันครึ่งหนึ่ง ต่อมา เธอสังเกตว่าฝ่ายชายมีพฤติกรรมเจ้าชู้ มักติดตามและคอมเมนต์หญิงสาวในโซเชียลมีเดีย รวมถึงยังใช้แอปพลิเคชันหาคู่เพื่อนัดพบผู้หญิงคนอื่น ซึ่งนำไปสู่ปัญหาทะเลาะกันหลายครั้ง
ต่อมา คุณเอตรวจพบว่าตัวเองตั้งครรภ์ มีการติดต่อพูดคุยกันว่า บ้านสองฝ่ายจะเอายังไง ตั้งแต่คบกันมาถึงตอนนี้ คุณเอ ไม่เคยเจอครอบครัวฝ่ายชายเลย ไม่เคยเจอแม่ แล้วยังมีพฤติกรรมที่ แม่ของฝ่ายชายออกกฎว่า ต้องกลับบ้านกี่วันต่อสัปดาห์ ต้องกลับให้ตรงเวลา อะไรต่าง ๆ นานา
ที่บ้านฝ่ายหญิงบอกว่า จะเอายังไงให้ทั้งคู่ตกลงกันเลย ที่บ้านของคุณเอไม่มีปัญหา ตอนแรกตกลงกันว่าจะไปจดทะเบียนสมรสกันเฉย ๆ ไม่ต้องจัดงานแต่ง ฝ่ายชายก็โอเค แต่พอถึงเวลาจะไปจดจริง ๆ เขาโทรมาบอกว่า “แม่สั่งห้าม ไม่ให้จดทะเบียนสมรส” เราก็ถามว่าทำไม เขาถามกลับว่า “แล้วเธออยากเป็นหนี้หรือไง?” เราก็บอกว่า ถ้าไม่จดทะเบียน ก็ต้องจัดงานแต่งงานนะ โดยงานแต่ง จัดที่บ้านของฝ่ายหญิงที่ต่างจังหวัด โดยตอนนั้น ญาติฝ่ายหญิงมาครบ แต่ฝ่ายชาย มีแค่ พี่ชาย น้องชาย และแม่เขา แค่ 3 คน เป็นครั้งแรกเลยที่เจอแม่ของเขา
หลังแต่งงาน ก็กลับมาอยู่ด้วยกันที่หอพักของตนเหมือนเดิม เขาไม่อยากพูดว่าทำไม ไม่พาเราไปเจอครอบครัว ไม่พาเข้าบ้าน เราก็ไม่อยากเค้นถาม
ต่อมาคุณเอ แพ้ท้องหนักมาก จนต้องแอดมิต โดยเรียกรถไปเอง หมอที่ตรวจครรภ์ก็ถามเราว่ามีญาติมาเฝ้าไหม อยากย้ายไปโรงพยาบาลที่สามีทำงานไหม แต่เราไม่อยากไป เพราะเขาไม่เคยเปิดตัวเราเลย เราไม่กล้าแสดงตัวว่าเป็นภรรยาของเขา แต่พอเราแอดมิต สามีมานอนเฝ้าตอนกลางคืน แล้วเขาก็ไปเล่าให้แม่ฟัง ว่ามานอนเฝ้าเมีย
ปรากฏว่าแม่ของฝ่ายชายโทรมาด่าแม่คุณเอ ว่าไม่สั่งสอนลูกเหรอ ว่าสามีเป็นหมอ ต้องทำงานหนัก ยังจะให้ไปนอนเฝ้าที่โรงพยาบาล ทำให้เขาพักผ่อนไม่เพียงพอ แล้วยังมีเรื่องที่ เวลาไปทานข้าว หรือถ่ายรูปอะไรส่งหากันระหว่างสามีภรรยา ว่าตอนนี้ทำอะไร กินข้าวแล้วหรือยัง สามีจะเอาไปฟ้องแม่ตลอด ว่าคุณเอ บังคับให้ถ่ายรูปส่งรายงาน แม่เขาก็โทรมาด่าแม่คุณเออีก ว่าทำไมต้องบังคับลูกเขา
ต่อมา ระหว่างที่ตั้งท้อง จู่ ๆ หมอก็ไลน์มาบอกเลิก บอกว่าอึดอัด ไม่อยากจะคบหากันอีกต่อไปแล้ว ส่วนเรื่องลูก เดี๋ยวค่อยมาคุยกันว่าจะเอายังไงต่อ แล้วก็มีเรื่องที่ แม่และพี่ชายของหมอ บุกมาที่หอพัก มาเก็บข้าวเก็บของของหมอออกไปจากห้อง ไม่ให้เขาอยู่กับตนอีก คุณเอ บอกว่า เจอเรื่องแบบนี้ทำให้เธอมีอาการซึมเศร้าระหว่างคลอด มีการพูดคุยกันตั้งแต่เดือนกันยายน โดยสามีมาคุยกันจนถึงเที่ยงคืน
ก่อนจะคลอดลูก แม่ของฝ่ายชาย ทำสัญญามา 1 ฉบับ บังคับให้คุณเอเซ็น โดยเป็นบันทึกข้อตกลง เลือกสองทางเลือก ได้แก่
ยกลูกให้ครอบครัวฝ่ายชาย ฝ่ายชายจะเป็นคนเลี้ยงดูลูก รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งแม่ต้องตัดขาดจากลูก จะไม่ให้แม่มาพบเจอลูกอีก
หากฝ่ายหญิงดูแลลูกเอง ฝ่ายชายจะไม่รับรองบุตรและไม่ให้การสนับสนุนใด ๆ เธอไม่ได้ให้คำตอบในทันที เนื่องจากเครียดจนมีผลต่อสุขภาพของทารกในครรภ์
เอไม่ยอมเซ็น ยื้อเวลามาจนถึงวันคลอด แม้แต่ตอนจะเข้าห้องคลอด แม่สามียังถามว่า เอาสัญญามาไหม เซ็นหรือยัง ทวงแบบนี้ซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ เราก็ยังไม่เซ็น พอคลอดลูกแล้ว เราบอกเขาว่า ขอเวลาอีก 7 วัน จะเอาสัญญานี้ กลับไปที่สุพรรณบุรีบ้านเกิด เพื่อปรึกษากับครอบครัวก่อน แต่ต่อมาเขาก็ติดต่อมาว่า ขอให้เราพาลูกไปให้เขาเจอหน่อย เขาคิดถึงลูก แต่พอพาไปเจอ แม่ของสามีก็พูดจาแดกดันต่าง ๆ นานา ถามว่าทำไมไม่ยอมเซ็นสักที ฉันไม่ได้เอาเด็กไปต้มยำทำแกงอะไร
ในที่สุด เธอเซ็นสัญญายกลูกให้ครอบครัวฝ่ายชาย แต่ภายหลังเธอรู้สึกเสียใจและขอพบลูกเป็นระยะ กระทั่งวันเกิดเหตุ ฝ่ายชายและแม่มารับหลานที่บ้านพี่ชายของเธอ แต่ครั้งนี้แม่ฝ่ายชายปฏิเสธที่จะให้กำหนดระยะเวลาการพบลูก ทำให้เกิดการยื้อแย่งเด็กตามที่ปรากฏในคลิป หลังจากนั้นฝ่ายหญิงไม่ได้พบหน้าลูกอีกเลย
แม่ของผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ลูกสาวของเธอไม่มีความสุขเลยตั้งแต่คบหากับฝ่ายชาย และต้องทนทุกข์มาเป็นเวลานาน ทั้งถูกดูถูกและกดดันจากครอบครัวของฝ่ายชายมาโดยตลอด เธอมั่นใจว่าครอบครัวของเธอสามารถดูแลเด็กคนนี้ได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาฝ่ายชาย
ในรายการมาบีบหัวใจตอนที่คุณเอเปิดคลิปวงจรปิด ภายในบ้าน เผยให้เห็นเหตุการณ์ขณะสองสามีภรรยาโต้เถียงกัน โดยมีแม่ของฝ่ายชายอุ้มเด็กทารกอยู่ ขณะที่แม่ของฝ่ายหญิงนั่งอยู่ที่โซฟา ฝ่ายหญิงพยายามเข้าไปอุ้มลูก แต่ถูกแม่ฝ่ายชายและอดีตสามีขัดขวาง ทำให้เกิดการยื้อยุดฉุดกระชาก จนลากกันไปถึงหน้าบ้าน ฝ่ายหญิงพยายามแย่งลูกคืนแต่ถูกอดีตสามีผลักและกันออกไปจนล้มลง เนื่องจากบาดแผลจากการผ่าคลอดเพียงหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้
คุณเอ ร่ำไห้ ปล่อยโฮ แล้วพรั่งพรูความรู้สึกในใจจนเหมือนระเบิดออกมา ว่าตนเองรักลูกมากแค่ไหน ตลอดเวลาที่อุ้มท้องมาเราสอนเขาให้รักพ่อ รักแม่ สู้มาด้วยกันตลอด จนถึงวันนี้เราขอแค่อยากเห็นหน้าลูก อยากเลี้ยงลูก ขอได้ลูกกลับคืนมาได้ไหม ยกมือไหว้เลยก็ได้ หัวใจคนเป็นแม่มันทนไม่ไหว หัวใจจะสลาย
ตลอดช่วงที่คุณเอพรั่งพรูความรู้สึก ทำเอาคนในรายการถึงกับร้องไห้ตาม โดยเฉพาะ นายกองตรี ดร.ธนกฤต จิตอารีย์รัตน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ แล้วบอกว่า ถ้าวันไหนที่ทางคุณเอจะดำเนินคดีกับแม่ลูกคู่นี้ ตนจะเป็นคนจัดการเรื่องฟ้องคดีให้เอง นี่คือความรู้สึกของคนเป็นพ่อ ที่ทนไม่ได้ว่าจะมีภาพที่เด็กคนหนึ่งถูกพรากไปจากอกแม่
ขณะที่ทนายแก้วให้ความเห็นในทางคดีว่า สัญญาที่ทางสามีทำมันเป็นโมฆะ ไม่มีผลทางกฎหมาย เพราะมันขัดต่อความสงบเรียบร้อยในสังคม จะมาตัดสิทธิ์ความเป็นแม่ลูกของใครไม่ได้ ขอยืนยันว่าสัญญาฉบับนี้ใช้ไม่ได้
และที่แม่กับครอบครัวของหมอ บุกไปที่หอพัก ที่บ้าน แต่ละครั้งมีความผิดอาญาฐานบุกรุก อาจจะติดคุกได้ แต่ละกรรมก็คุก 1 ปี 3 ครั้ง ก็ 3 ปี
ที่หนักคือคดีพรากผู้เยาว์ เพราะแม่ของหมอถือเป็นคนนอกที่ไม่ใช่บิดามารดา พฤติกรรมในคลิปชัดเจนว่าเป็นการพรากลูกไป ผิดกฎหมายพรากผู้เยาว์ ยอมความไม่ได้ โทษหนัก ส่วนคุณหมอ อาจจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.ความรุนแรงในครอบครัว ทำร้ายร่างกาย อันนี้ก็โดนหมด
สุดท้าย คุณเอ ยื่นคำขาดท้ายรายการว่า ขอให้ครอบครัวของสามี ติดต่อมา เอาลูกมาคืนภายในวันนี้ ไม่อย่างนั้น พรุ่งนี้ 9 โมงเช้า จะไปแจ้งความ เพราะในตอนแรก ตนไม่คิดจะเอาความ ไม่คิดจะเอาเรื่องอะไรเลย แค่อยากได้ลูกคืน ขอแค่ได้เห็นหน้าลูก ได้ลูกมาเลี้ยงเท่านั้นพอ อย่าลืมว่าคดีความแจ้งไปแล้ว มันยอมความไม่ได้อีก