รายการโหนกระแสวันนี้ กลับมาติดตามกันเป็นครั้งที่ 3 กรณีอู่ V10 Garage ของคุณใหญ่ V10 ซึ่งยังคงหายตัวไปและไม่สามารถติดต่อได้นานนับสัปดาห์ แม้กระทั่งในช่วงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและ สคบ. เข้าตรวจสอบที่อู่และโกดัง ก็ยังไร้เงาของเจ้าตัว โดยในวันนี้มีกลุ่มผู้เสียหายทั้งรายใหม่และรายเก่ามาร่วมพูดคุยในรายการ
ล่าสุด สถานการณ์มีความเคลื่อนไหว เมื่อมีการเผยแพร่คลิปในโลกออนไลน์โดยคนไทยที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งอ้างว่าพบเห็นคุณใหญ่และภรรยาไปปรากฏตัวที่โรงแรมแห่งหนึ่งในลาสเวกัส ประเด็นนี้ทำให้ผู้เสียหายที่มาร่วมรายการต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันในเชิงประชดประชันว่า เขาอาจจะบินไปซื้ออะไหล่เพื่อกลับมาซ่อมรถให้พวกตนก็เป็นได้
หนึ่งในผู้เสียหายที่มาร่วมรายการคือ คุณเกด เจ้าของรถ Mercedes Benz ที่ประสบอุบัติเหตุชนหนักและได้นำรถไปซ่อมที่อู่ของคุณใหญ่ หลังใช้เวลาซ่อมนาน เมื่อได้รับรถกลับมาก็พบปัญหาว่าฝาถังน้ำมันไม่สามารถเปิดปิดได้ จนกระทั่งพบว่าทางอู่ได้ใช้ "กาว" แปะยึดไว้ ซึ่งสร้างความงุนงงให้กับทุกคนว่า การซ่อมรถใช้วิธีการเช่นนี้ได้อย่างไร
ที่หนักไปกว่านั้นคือ หลังจากมีผู้เสียหายออกมาเปิดโปงในรายการโหนกระแสหลายราย คุณเกดจึงเกิดความไม่สบายใจและนำรถของตนไปตรวจสอบอย่างละเอียด จนพบความจริงที่น่าสะพรึงกลัวว่า ตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมา รถของเธอไม่มีถุงลมนิรภัยที่ใช้งานได้จริงเลยแม้แต่ใบเดียว
คุณเกดเล่าว่า ในตอนที่เกิดอุบัติเหตุครั้งแรก ถุงลมนิรภัยได้ระเบิดออกมาจากแรงชน แต่แทนที่ทางอู่จะเปลี่ยนถุงลมนิรภัยใบใหม่ใส่ให้ กลับใช้วิธีการ "นำถุงลมเก่าที่แตกแล้วยัดกลับเข้าไป" ที่เดิม จากนั้นได้ติดตั้ง "เซนเซอร์ตัวหลอก" เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบคอมพิวเตอร์ของรถตรวจจับความผิดปกติได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง
คุณเกดระบุว่า ได้ตัดสินใจเข้าแจ้งความทันที และขอฝากเตือนไปยังผู้ที่เคยนำรถไปซ่อมกับอู่ V10 Garage ให้นำรถของท่านไปตรวจสอบอย่างเร่งด่วน โดยย้ำว่า "ต้องแกะแผงถุงลมออกมาดูเท่านั้น" เนื่องจากการสแกนด้วยระบบคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถตรวจพบการยัดไส้ครั้งนี้ได้ พร้อมกล่าวว่าตนไม่คิดเลยว่าเขาจะกล้าเอาความปลอดภัยในชีวิตของลูกค้ามาทำแบบนี้
เคสต่อมาคือ คุณตะวัน เจ้าของรถ Mazda MX-5 ซึ่งเป็นรถ Roadster ทรงเตี้ย ประสบเหตุชนฟุตปาธด้วยความเร็วต่ำ ไม่เกิน 20 กม./ชม. แต่เมื่อนำรถไปซ่อมที่อู่ของคุณใหญ่ V10 กลับถูกประเมินค่าซ่อมสูงถึง 2 ล้านกว่าบาท ซึ่งเป็นราคาที่เกือบเทียบเท่าราคารถ โดยทางอู่ให้เหตุผลว่าอะไหล่หายากและเป็นรถรุ่นหายาก
คุณตะวันเล่าว่า เขาต้องเจรจากับบริษัทประกันภัยอย่างยาวนาน โดยเริ่มต่อรองกันตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 ซึ่งประกันไม่อนุมัติยอด 2 ล้านกว่าบาทตามที่อู่ประเมินมา ทางอู่ได้เจรจาไปมากับประกันหลายครั้ง จาก 2 ล้าน ลดลงมาเหลือ 1.8 ล้าน และลดลงมาอีกจนเหลือล้านกว่าบาท จนกระทั่งสุดท้ายในเดือนสิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา เพิ่งตกลงราคากับประกันภัยได้ที่ 9 แสนกว่าบาท
เมื่อคุณตะวันได้รับเช็คจากประกันภัย (ซึ่งตีในชื่อของเขา) คุณโอ หุ้นส่วนของคุณใหญ่ ได้โทรมาสอบถามว่า "ทำไมถึงไปเอาเช็คมาเอง ทำไมไม่ให้อู่เป็นคนรับ" คุณตะวันจึงยืนยันว่าเมื่อค่าซ่อมมาอยู่ในมือตนแล้ว ก็จำเป็นต้องขอควบคุมการจ่ายเงินด้วยการทำสัญญา และได้จ่ายเงินล่วงหน้าให้อู่ไปก่อนครึ่งหนึ่ง เป็นเงินประมาณ 490,000 บาท ส่วนที่เหลือตกลงจะจ่ายในวันรับรถ
หลังจากนั้น ทางอู่ก็เริ่มผัดผ่อนวันรับรถ โดยอ้างว่าต้องเลื่อนจากกำหนดเดิมในเดือนตุลาคม 2568 ไปเป็นเดือนพฤศจิกายน 2568 ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ทางอู่เคยอ้างเพื่อให้คุณตะวันเชื่อใจมาโดยตลอดว่า "อะไหล่ของรถมาครบหมดแล้ว เหลือแค่รอประกันอนุมัติเงิน ก็สามารถเริ่มลงมือซ่อมได้เลย"
คุณตะวันเล่าอีกว่า สุดท้ายเมื่อเรื่องราวกลายเป็นข่าวดังในรายการโหนกระแส ตนยังได้โทรศัพท์ไปสอบถามที่อู่ว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ แต่คุณโอกลับตอบมาว่า "พวกผู้เสียหายที่ไปออกโหนกระแส เป็นพวกอินฟลูเอนเซอร์ที่อยากได้แสง อยากได้ยอดเอนเกจเมนต์ ไม่มีอะไรหรอก อู่เราซ่อมปกติ" จนกระทั่งถึงวันที่ทนายความพาผู้เสียหายกลุ่มใหญ่ไปแจ้งความ และมีตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบ ตนจึงยอมรับความจริงได้ว่า ตนถูกโกงแล้วจริงๆ
ในช่วงสุดท้ายของรายการ คุณมอส หนึ่งในผู้เสียหาย ได้ฝากข้อความถึงคุณใหญ่ หากกำลังรับชมรายการอยู่ว่า
"ผมคิดว่าผู้เสียหายแต่ละคนเขาคงเห็นแล้วว่า มันเกินเยียวยาแล้วพี่ คือเราพยายามหลายครั้งที่จะติดต่อ จะพูดคุยกับเขา แต่ก็ได้มาแค่คำตอบปัดๆ ส่งๆ ต่อให้เราเถียง ต่อให้เราโพสต์ มันก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา แค่อยากให้เขารับผิดชอบ เรารอการติดต่อกลับมาอยู่"
ขณะที่คุณตะวัน (เจ้าของรถ Mazda MX-5) ได้ถามทิ้งท้ายในรายการว่า "การแก้ปัญหามันดูเหมือนจะไม่ยาก อย่างเคสผม เขาก็แค่ Declare (แจกแจง) มาว่าซื้ออะไรไปเท่าไหร่ เกินเท่าไหร่ก็คืนเงินมา มันง่ายๆ แค่นี้ไหมครับ"
ซึ่งทนายแก้วได้ให้ความเห็นต่อประเด็นนี้ว่า "มันดูเหมือนไม่ยาก แต่พี่แก้วว่า มันยากตรงที่เขาไม่มีเงินน่ะสิครับ"
ทนายแก้วจึงได้ให้คำแนะนำว่า คดีที่ต้องมุ่งเน้นในตอนนี้คือการ "ฉ้อโกงประชาชน" และขอให้ผู้เสียหายทุกคนไปผนึกกำลังกันที่ สภ.ปากคลองรังสิต (สถานีตำรวจภูธรปากคลองรังสิต) เพื่อแจ้งความซ้ำๆ กันเข้าไป ให้พนักงานสอบสวนสามารถมองคดีนี้เป็นคดีฉ้อโกงประชาชนให้ได้