มาร่วมตีแผ่กระแสที่แรงที่สุดในสังคม กับรายการโหนกระแสthaich3ช่อง 3 กด 33
ติดต่อเราfacebooktiktokxyoutube
honekrsaaehonekrsaae
thaich3ช่อง 3 กด 33honekrsaae
ข่าวกำลังโหน
โหนทุกข่าว
โหนบันเทิง
โหนไปมู
โหนร้องทุกข์
วีดีโอ
search
ปิด
honekrsaae
honekrsaae
มาร่วมตีแผ่กระแสที่แรงที่สุดในสังคม กับรายการโหนกระแส
thaich3ช่อง 3 กด 33
หน้าหลัก
ข่าวกำลังโหน
โหนทุกข่าว
โหนบันเทิง
โหนไปมู
โหนร้องทุกข์
วีดีโอ
Live
ติดต่อเราfacebooktiktokxyoutube

ผ่านมา 7-8 ปี พ่อแม่ "น้องเมย" กลับมานั่งโหนกระแสอีกครั้ง กับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ และ ความยุติธรรม ที่มีเครื่องหมายคำถาม


ข่าวด่วน
23 กรกฎาคม 2568943
ผ่านมา 7-8 ปี พ่อแม่ "น้องเมย" กลับมานั่งโหนกระแสอีกครั้ง กับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ และ ความยุติธรรม ที่มีเครื่องหมายคำถาม

รายการโหนกระแสวันนี้ 23 กรกฎาคม 2568 พ่อและแม่ของ "น้องเมย" นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ที่เสียชีวิตอย่างปริศนาเมื่อปี 2560 ได้กลับมาร่วมรายการอีกครั้ง หลังศาลฎีกาทหารมีคำพิพากษาเมื่อวานนี้ โดยตัดสินลงโทษจำคุก 4 เดือน 16 วัน ปรับ 15,000 บาท และให้รอลงอาญา 2 ปี กับรุ่นพี่ 2 คนที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมลูกชายจนเสียชีวิต

 

ทั้งสองคนเล่าย้อนไทม์ไลน์ในวันที่ลูกชายเริ่มเข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมทหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 ซึ่งในช่วงต้นก็เริ่มมีสัญญาณบางอย่างที่ผิดปกติ ลูกชายมักจะบาดเจ็บกลับมาบ้าน โดยที่เจ้าตัวไม่ยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้น บอกแต่ว่า “ตกบันได” เวลาพ่อแม่ถาม ก็จะตอบแค่ว่า “ผมอยากเรียนต่อครับ”

 

หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ คือเหตุการณ์วันที่ 23 สิงหาคม 2560 เมื่อน้องเมยถูกลงโทษอย่างรุนแรงด้วยท่า “ปักหัวโหม่งโลก” หลังจากรุ่นพี่ที่เรียกว่า “คอมแมน” ไปพบว่าน้องเมยใช้ “บันไดฝั่งซ้าย” ซึ่งมีไว้เฉพาะสำหรับรุ่นพี่ แม้น้องเมยจะยืนยันว่า มีรุ่นพี่อนุญาตให้ใช้ และพาลงมา แต่รุ่นพี่คนนั้นกลับไม่เชื่อ พาไปถามคนที่น้องเมยบอกว่าให้อนุญาต แต่รุ่นพี่คนนั้นกลับคำ ปฏิเสธว่าไม่ได้อนุญาต  เป็นชนวนเหตุให้ลูกชายต้องซ่อมในห้องน้ำเกือบหนึ่งชั่วโมงจนศีรษะกระแทกอย่างรุนแรง หลังจากนั้นก็มีอาการปวดหัว คลื่นไส้ และอาเจียน แต่ก็ไม่ได้รับการพักฟื้นอย่างจริงจัง

 

ตลอดเดือนต่อมา อาการลูกชายยังไม่ดีขึ้น และในวันที่ 15–17 ตุลาคม 2560 น้องเมยถูกธำรงวินัยต่อเนื่องหลายคืน ทั้งยึดพื้นในห้องอับอากาศ วิ่ง พุ่งหลัง กระโดดกบ และออกกำลังกายหนัก แม้จะมีใบรับรองแพทย์ให้พัก การซ่อมยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการถูกสาดน้ำเย็นในเวลากลางคืน หรือปลุกมาลงโทษอีกหลายครั้ง

 

จนสุดท้าย ในเช้าตรู่วันที่ 17 ตุลาคม 2560 น้องเมยหมดสติและเสียชีวิตภายในโรงเรียนเตรียมทหาร ครอบครัวได้รับแจ้งในภายหลังว่าเขาเสียชีวิตจากหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน 

 

สิ่งที่สร้างความสะเทือนใจเพิ่มเติมคือเมื่อนำร่างลูกชายกลับมาในวันที่ 21 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน ครอบครัวพบว่าอวัยวะสำคัญ เช่น สมอง หัวใจ และกระเพาะอาหาร ได้ถูกนำออกไปโดยไม่ได้รับการแจ้งล่วงหน้า และไม่เคยได้รับคืนอย่างโปร่งใส ทั้งที่ผลชันสูตรของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ยืนยันว่ามีการเก็บอวัยวะไว้ในระหว่างกระบวนการผ่าศพ

 

จากวันนั้นถึงวันนี้ ครอบครัวได้เดินหน้าฟ้องร้องหลายคดี ทั้งเอาผิดรุ่นพี่ที่ลงโทษลูกชาย ครูฝึกที่ปล่อยปละละเลย รวมถึงแพทย์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเก็บอวัยวะโดยไม่คืนให้ ซึ่งหลายคดีมีคำสั่งไม่ฟ้องหรือยกฟ้อง ส่วนคดีสำคัญที่ศาลทหารพิพากษาไปเมื่อวานนี้ คือกรณีรุ่นพี่ 2 คนที่ศาลตัดสินให้รอลงอาญา

 

แม้เวลาจะผ่านไปถึง 8 ปี พ่อแม่ของน้องเมยยังคงต่อสู้เพื่อความยุติธรรม พวกเขาไม่เพียงต้องการคำตัดสิน แต่ยังเรียกร้องให้สังคมหันกลับมามองปัญหาระบบวินัยในรั้วทหารที่ยังขาดความโปร่งใส และความจริงที่ยังไม่ถูกเปิดเผยอย่างหมดจดจนถึงทุกวันนี้

 

แม่จของน้องเมยยังเล่าว่า ช่วงที่น้องแค่บาดเจ็บ มีใบรับรองแพทย์สั่งให้หยุดฝึก แต่ทุกครั้งที่เมยลงจากกองแพทย์มาเจอรุ่นพี่พวกนี้ เขาก็ยังโดนทำโทษอีก เคยถามลูก ลูกบอกว่า “ทางโรงเรียนเคยมาสอบสวนผมแล้วครับแม่ แต่ถ้าผมพูดมากกว่านี้ พี่เขาจะไม่ได้เรียนต่อ”  เมยบอกว่าเมยอยากเรียน คนอื่นก็อยากเรียนเหมือนกัน เขาคิดถึงคนอื่นเสมอ เมื่อพูดถึงตรงนี้ ยิ่งทำให้คุณแม่ หัวใจสลายยิ่งกว่าเดิม

ส่วนกรณีอวัยวะภายในของน้องเมยที่หายไป หลังจากการผ่าชันสูตรพลิกศพครั้งแรกที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งกลายเป็นประเด็นสำคัญในคดี ครอบครัวเล่าย้อนว่า หลังจากรับศพของน้องเมยกลับมาทำพิธีทางศาสนา พี่สาวของน้องเมยได้รับแจ้งจากคนในว่า “น้องมึงตายผิดธรรมชาตินะ อย่าเพิ่งเผาน้องมึงนะ”  จึงตัดสินใจนำร่างของลูกชายส่งตรวจชันสูตรซ้ำที่ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม

 

ผลการตรวจครั้งที่สอง ทำให้ครอบครัวพบความจริงว่า อวัยวะสำคัญหลายส่วนของลูกชาย ไม่อยู่ในร่างกายแล้ว ได้แก่ 1. สมอง 2. หัวใจ 3. กระเพาะอาหาร 4. กระเพาะปัสสาวะ การหายไปของอวัยวะเหล่านี้ สร้างความคาใจอย่างลึกซึ้งว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยไม่ได้รับการแจ้งล่วงหน้าหรือคำอธิบายที่ชัดเจนตั้งแต่ต้น

 

ต่อมา เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 ครอบครัวได้รับการติดต่อให้เข้ารับคืนอวัยวะที่หายไป โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและตัวแทนจากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเป็นผู้ส่งมอบตามขั้นตอนทางกฎหมาย

 

โรงพยาบาลให้คำอธิบายว่า การนำอวัยวะออกจากร่างผู้เสียชีวิต เป็นไปเพื่อการวินิจฉัยหาสาเหตุการตายตามกระบวนการนิติเวช เนื่องจากกรณีเสียชีวิตของน้องเมยเข้าข่าย “ตายผิดธรรมชาติ” ซึ่งตามหลักการแพทย์นั้น สามารถเก็บอวัยวะไว้เพื่อชันสูตร โดยไม่จำเป็นต้องขอความยินยอมจากครอบครัว

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ครอบครัวได้รับแจ้งก่อนหน้านั้น มีเพียงคำว่า “จะขอตัดชิ้นเนื้อบางส่วน” เท่านั้น ไม่มีการอธิบายอย่างชัดเจนว่าจะมีการนำอวัยวะสำคัญออกไปทั้งชิ้น และไม่มีการชี้แจงว่าทำไมจึงไม่คืนอวัยวะกลับสู่ร่างทันทีหลังการตรวจสอบเสร็จ

 

ภายหลังโรงพยาบาลอธิบายว่า อวัยวะที่ผ่าออกไปยังไม่ได้ใส่คืนในร่าง เพราะต้องใช้เวลาในการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม เมื่อได้รับอวัยวะคืน ครอบครัวไม่อาจปักใจเชื่อได้ว่าของที่ส่งมานั้นเป็นของลูกชายจริงหรือไม่ จึงดำเนินการนำอวัยวะเหล่านั้นไปตรวจพิสูจน์ทาง DNA ที่ โรงพยาบาลรามาธิบดี และ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์

 

ผลการตรวจสอบออกมาว่า ไม่สามารถยืนยันอัตลักษณ์บุคคลได้ เนื่องจากตัวอย่างอวัยวะที่ส่งมาตรวจนั้น เสื่อมสภาพอย่างมาก โดยเฉพาะคุณภาพของสารพันธุกรรม (DNA) ซึ่งถูกแช่ในสารฟอร์มาลีนเป็นเวลานานจนเสื่อมเกินกว่าจะสกัด DNA ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

เจ้าหน้าที่จากทั้งสองหน่วยงานระบุว่า พยายามตรวจสอบมากกว่า 3 ครั้ง แต่ล้มเหลวทุกครั้ง ทำให้ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าอวัยวะที่ส่งมาคืนมานั้น เป็นของน้องเมยจริงหรือไม่ ด้วยเหตุนี้ ครอบครัวจึงยังไม่อาจวางใจได้ว่าอวัยวะที่ได้รับคืนเป็นของลูกชาย และยังไม่สามารถคลายความกังวลใจเกี่ยวกับกระบวนการผ่าชันสูตรได้

 

นอกจากนี้ ยังตั้งข้อสังเกตว่าการที่เนื้อเยื่อเสื่อมคุณภาพถึงขั้นไม่สามารถตรวจ DNA ได้นั้น อาจสะท้อนถึงความ บกพร่อง ในการเก็บรักษาหลักฐาน หรืออาจมี เจตนาแฝงเร้นบางอย่าง ซึ่งยังต้องการการตรวจสอบเพิ่มเติม

 

ส่วนต่อมาคือ เรื่องคำพิพากษาการลงโทษ คำพิพากษาจำคุก 4 เดือน 16 วัน ปรับ 15,000 บาท รอลงอาญา 2 ปี ที่ศาลทหารชั้นฎีกาตัดสินแก่รุ่นพี่ในคดี "น้องเมย" เป็นความผิดฐาน "ทำร้ายร่างกายและทำโทษโดยฝ่าฝืนคำสั่งของกลุ่มนักเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร" (ทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295) ซึ่งศาลรับฟังว่า แม้จำเลยทำผิดจริงในการทำร้ายและลงโทษ แต่ศาลไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า การกระทำของจำเลยเป็นสาเหตุโดยตรงให้เกิดการเสียชีวิตของน้องเมย

 

ด้วยเหตุนี้ ศาลจึงพิพากษาโทษในลักษณะโทษเบา คือ รอลงอาญา เพราะเห็นว่าจำเลยยังมีประโยชน์ในการรับราชการ และไม่เคยได้รับโทษมาก่อน โทษหนักเกรงว่าจะไม่เป็นประโยชน์แก่จำเลยและสังคม

 

การตั้งข้อสังเกตที่ว่าศาลพิพากษาโทษน้อยเนื่องจากเป็นคดี ทำร้ายร่างกายตามมาตรา 295 ที่ไม่เชื่อมโยงกับการเสียชีวิตโดยตรง ตรงกับคำชี้แจงของศาลทหารซึ่งไม่ได้พิสูจน์ได้ชัดว่าการทำร้ายร่างกายเป็นสาเหตุเดียวที่ก่อให้เกิดความตาย แม้จะยอมรับว่ามีการทำโทษและทำร้ายจริงก็ตาม จึงใช้การตีความแยกคดีออกจากคดี "ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย" ซึ่งมีโทษหนักกว่านี้

 

สรุปคือ คำพิพากษาโทษจำคุก 4 เดือน 16 วันรอลงอาญา เป็นโทษในฐานความผิด ทำร้ายร่างกายโดยไม่ได้พิสูจน์การเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตของน้องเมยโดยตรง จึงทำให้โทษที่ออกมาดูเบาและถูกวิจารณ์ว่าคดีไม่ได้รับการลงโทษอย่างจริงจังเมื่อเทียบกับเหตุการณ์เสียชีวิต

 

พ่อของน้องเมยบอกอีกว่า คู่กรณีที่ถูกตัดสินคดีไปแล้ว ณ วันนี้ ต้องคดีอาญา เขายังรับราชการเป็นตำรวจอยู่ได้ยังไง มันไม่มีข้อกำหนดหรือ? แล้วที่บอกว่า เขาสร้างคุณประโยชน์ของประเทศได้ แล้วลูกของตน ถ้าเขายังอยู่ ยังมีชีวิตอยู่ เขาจะมีประโยชน์ต่อประเทศไหม วันนี้ที่มีปัญหาชายแดน เขาอาจจะไปช่วยเหลือประเทศอยู่ก็ได้ ถ้าลูกชายตนเสียชีวิตในหน้าที่ ตนจะภูมิใจมากเลย แต่วันนี้ลูกตนเสียชีวิตจากน้ำมือของคนในโรงเรียน มันรับได้หรือ

 

สิ่งที่อยากจะฝากไปถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าปล่อยให้เขารับราชการอยู่ได้ยังไง ตอนที่ได้พิจารณาเลื่อนยศ ขึ้นมาเป็นร้อยตำรวจโท เขาไม่ถูกพิจารณาเหรอ ว่าเขามีคดีอยู่

 

แม่ของน้องเมยเล่าอีกว่า วันที่น้องเมยยังมีชีวิตอยู่ ยังรักษาตัวเพราะถูกทำร้าย เราไม่รู้จริงๆ ว่าลูกเราจะตาย เขาพูดกับเราว่า “แม่ครับ โรงเรียนมาสอบปากคำผมแล้ว แต่ผมพูดได้แค่นี้ ผมพูดมากกว่านี้ไม่ได้ เพราะพี่เขาจะโดนออก” พอเราไปพูดไปศาล ทนายจำเลยเขาถามเราว่า แล้วแม่พูดลอยๆได้ แม่มีคลิปไหม ทำให้เรามาโทษตัวเองว่า เราไม่มีถ่ายคลิปลูกไว้ เพราะเราไม่รู้จริงๆ ว่าลูกเราจะตาย

 

 


แท็กที่เกี่ยวข้อง
#พ่อแม่น้องเมย#น้องเมย