จากกรณี เหตุเพลิงไหม้โกดังเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ในซอยฉลองกรุง 55 เพลิงเริ่มลุกไหม้ตั้งแต่เวลา 16.00 น. ของวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 ที่โกดังเฟอร์นิเจอร์ ย่านลาดกระบัง กรุงเทพฯ ซึ่งภายในโกดังเต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ครัว ไม้อัด และวัสดุไวไฟ ทำให้เพลิงลุกลามอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ต้องระดมรถน้ำกว่า 50 คัน ใช้เวลานานกว่า 6 ชั่วโมงจึงสามารถควบคุมเพลิงให้อยู่ในวงจำกัด
จุดต้นเพลิงอยู่ใกล้ปล่องลิฟต์ บริเวณทางออก 3 ของอาคารโกดัง ซึ่งเจ้าหน้าที่เข้าไม่ถึงเนื่องจากพื้นที่โดยรอบคับแคบ ส่งผลให้ไฟยังคุกรุ่น พร้อมควันดำพวยพุ่งต่อเนื่องจนถึงเช้าวันนี้
เมื่อช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา ดร.สุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ประธานสภากรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยนายธราพงษ์ เพ็ชรคง ผู้อำนวยการเขตลาดกระบัง ได้จัดตั้งศูนย์บัญชาการที่โรงเรียนลำพะอง พร้อมนำรถสุขาเคลื่อนที่ น้ำดื่ม และอาหารมาให้บริการประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากควัน
ต่อมาในช่วงเช้า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่และเปิดเผยว่า ภายในโกดังมีเม็ดพลาสติกจำนวนมาก ทำให้ควันที่ปล่อยออกมาเป็นพิษ โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ควันสีดำจากเชื้อเพลิงเม็ดพลาสติก และสีเทาเข้มจากพลาสติกที่ขึ้นรูปแล้ว ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ประสานสำนักสิ่งแวดล้อมเร่งตรวจสอบและเฝ้าระวัง
ทีมข่าวได้ลงพื้นที่ซอยฉลองกรุง 53 ซึ่งอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ พบว่าควันยังลอยหนาทั่วบริเวณ ด้านหลังโกดังมีอู่ซ่อมรถของนายกัลยศักดิ์ ควรคงพิมพ์ วัย 47 ปี เขาเล่าว่าเห็นเหตุเพลิงไหม้ตั้งแต่บ่ายสามโมงครึ่ง และรีบโทรแจ้งเหตุ ไอความร้อนพุ่งมาถึงตัวบ้าน แต่เจ้าตัวไม่ยอมอพยพออกไปเพราะเป็นห่วงรถลูกค้าที่ฝากไว้
ขณะที่อีกหนึ่ง กรณีของ หญิง อายุ 76 ปี ชาวบ้านในซอยฉลองกรุง 53 เช่นกัน เธอเผยว่า เห็นไฟลุกตั้งแต่เย็นวานนี้ก็รีบปิดประตูหน้าต่างทันที เพราะเป็นห่วงสุนัขที่เลี้ยงไว้ แม้เจ้าหน้าที่จะมาแจ้งให้อพยพในช่วงกลางคืน เธอก็ยืนยันที่จะไม่ออกจากบ้าน เนื่องจากไม่อยากทิ้งสุนัขให้อยู่ตามลำพัง กระทั่งเช้าวันนี้เจ้าหน้าที่เข้าไปเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง บอกว่าอาจเกิดระเบิดหรือเพลิงลามอย่างรวดเร็ว และจะไม่มีใครสามารถเข้าไปช่วยได้ เธอจึงยอมออกมา แต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้นำสุนัขออกมาด้วย ทำให้เธอต้องคลุกข้าวไว้ให้มันกินก่อนจะย้ายออก
ด้าน ชาวบ้านอีกคนที่อยู่ในชุมชนหลังโรงเรียนลำพะองซึ่งติดกับโรงงาน ระบุว่าได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่น และเห็นไฟลุกอย่างรุนแรง โชคดีที่เจ้าหน้าที่ควบคุมไฟไม่ให้ลามเข้าชุมชน ซึ่งมีประชากรราว 50 คนใน 13 หลังคาเรือน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง
สิ่งที่ชาวบ้านกังวลขณะนี้คือผลกระทบจากกลุ่มควันเขม่าที่ลอยปกคลุมทั่วบริเวณ ทั้งกลิ่นเหม็นและฝุ่นพิษ ซึ่งยังไม่รู้ว่าใครจะมารับผิดชอบในการทำความสะอาดหลังเหตุเพลิงไหม้สงบ ทั้งนี้มีรายงานว่าโรงงานดังกล่าวเคยเกิดไฟไหม้มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่โชคดีที่ดับได้ทันในครั้งนั้น