วันนี้ (10 ก.ย. 2568) ในรายการโหนกระแส มีการพูดคุยกับผู้เสียหาย 2 ราย ที่ออกมาเล่าประสบการณ์ถูกหญิงคนหนึ่งชื่อ “ตุ๊ก” อ้างตัวว่าเป็นพยาบาล และอ้างว่ามีสามีเป็นตำรวจยศผู้กองหรือร้อยตำรวจเอกในจังหวัดมหาสารคาม ทั้งนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าตุ๊กเป็นพยาบาลจริงหรือไม่ แต่จากคำเล่าของผู้เสียหายทั้งสอง พบว่ามีรูปแบบการหลอกลวงที่แตกต่างกันแต่มีลักษณะร่วม คือการสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการอ้างอาชีพและตำแหน่งของสามี เพื่อชักจูงให้เหยื่อตกลงทำตามข้อเสนอของตน
ผู้เสียหายรายแรกคือ คุณเค้ก ซึ่งเป็น อสม. ในจังหวัดอุดรธานี เล่าว่าได้รู้จักตุ๊กจากการเป็นภรรยาของเพื่อนสามีที่เป็นตำรวจในพื้นที่ ต่อมาตุ๊กติดต่อมาผ่านเฟซบุ๊ก ขอให้ช่วยหาคนไปทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสุขภาพ โดยบอกว่าจะมีงานตรวจร่างกายพนักงานที่ภัตตาคารอาหารแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี และจะมีงานต่อเนื่องเป็นโครงการตรวจสุขภาพตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วภาคอีสาน
ตุ๊กอธิบายรายละเอียดการทำงานว่า ผู้ที่จะไปในฐานะพยาบาล จะได้รับค่าจ้างวันละ 1,000 บาท ส่วนผู้ช่วยพยาบาลจะได้รับวันละ 700 บาท สามารถชวนใครก็ได้มาทำงาน ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ คุณเค้กเห็นว่าเป็นโอกาสดี จึงชวนหลานไปร่วมทำงานด้วย หลังจากเสร็จงานครั้งแรก ตุ๊กบอกว่าตนได้รับโควตาจัดตั้งทีมตรวจสุขภาพจากโรงพยาบาลใหญ่ในกรุงเทพฯ และกระทรวงสาธารณสุข จึงให้คุณเค้กหาคนเพิ่มให้ครบ 10 คน เพื่อเตรียมลงพื้นที่ตรวจสุขภาพในอำเภอต่างๆ
ตุ๊กยังอ้างว่า จะซื้อใบประกอบวิชาชีพพยาบาลให้ทุกคนที่มารับงาน โดยทุกคนต้องจ่ายค่าทำใบประกอบให้กับตุ๊ก เพราะตุ๊กบอกว่า หากกระทรวงสาธารณสุขมาตรวจ แล้วใครไม่มีใบประกอบ จะมีความผิดตามกฎหมาย นอกจากนี้ยังมีการแจ้งว่าผู้สมัครต้องชำระค่าชุดฟอร์มเจ้าหน้าที่และค่าดำเนินการอื่นๆ ตั้งแต่ 2,000-5,000 บาทต่อคน ขึ้นอยู่กับว่าจะสมัครทำงานกี่เดือน มีตั้งแต่ 3 เดือนจนถึง 1 ปี
คุณเค้กและน้องๆ ที่ชักชวนมาทำงานด้วยกัน ต่างลาออกจากงานเดิมด้วยความเชื่อใจตุ๊กว่าจะได้ทำงานจริง รวมแล้วมีการโอนเงินไปเกือบ 50,000 บาท แต่เมื่อถึงวันเริ่มงานจริงในเดือนพฤศจิกายน กลับถูกเลื่อนหลายครั้ง อ้างว่าชุดยังไม่เสร็จ และเลื่อนเรื่อยๆ จนคุณเค้กเริ่มสงสัย ขอยกเลิกสัญญาและขอเงินคืน
ตุ๊กนัดคืนเงินที่ค่าย ตชด. ในอุดรธานี แต่กลับให้เพื่อนพยาบาลในพื้นที่มาบอกว่าจะโอนเงินให้ภายใน 1 สัปดาห์ ทว่าครบกำหนดก็ไม่จ่าย และยังบ่ายเบี่ยงว่าจะนำเงินสดมาให้ ก่อนจะปิดทุกช่องทางการติดต่อ ทำให้คุณเค้กรู้ว่าถูกหลอก จึงนำหลักฐานไปแจ้งความที่ สภ.เมืองอุดรธานี
คุณเค้กไปตามทวงเอาเงินคืน ทั้งตามหาตุ๊ก พอติดต่อไม่ได้ ก็ให้สามีพาไปหาสามีของตุ๊กที่เป็นตำรวจ เขาเป็นตำรวจจริงๆ แต่ไปเจอหน้าก็ยังบ่ายเบี่ยง พอเราตามมากๆ เข้า ไม่ได้เงินคืน ตุ๊กยังให้เด็กอีกคนแอบอ้างว่าเป็นทนาย มาขู่เราว่า เขาจะฟ้องเราแล้วนะ เรารู้สึกว่าไม่รู้จะทำยังไงดี จึงมาร้องกับ “เฮียเปี๊ยก ช่วยด้วย” ในที่สุด
ผู้เสียหายอีกรายคือ คุณเอ อายุ 27 ปี จากจังหวัดสุรินทร์ เล่าว่าได้โพสต์ในเพจเฟซบุ๊กเพื่อหาที่รับจำนำรถ จากนั้นตุ๊กติดต่อมาทางไลน์ อ้างว่ารับจำนำร่วมกับน้องชายและสามีที่เป็นตำรวจ หลังจากตกลงกัน ตุ๊กมารับรถและจ่ายเงินสด รถของตนเป็นรถ Honda Jazz ซื้อมามือสอง ราคา 1.6 แสนบาทเมื่อหลายปีก่อน โดยตกลงกันที่จำนำ 10,000 บาท ได้เงินสด 8,000 บาท หักดอกเบี้ยงวดแรก 1,00 บาท และ หักค่าจอด 1,000 บาท แต่ไม่มีการทำสัญญา เพียงเก็บเอกสารของคุณเอไว้ วันที่ตกลง เขาขับรถออกไปเลย บอกว่าจะเอารถไปให้เฮียตรวจ จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ตุ๊กก็นำเงินสดมาให้ แต่ไม่มีการทำสัญญา เพียงเก็บเอกสารของคุณเอไป ซึ่งตอนแรกคุณเอก็ไม่ได้สงสัย เพราะได้สอบถามเพื่อนๆ ที่เคยจำนำรถ และได้รับคำตอบว่าเป็นวิธีปฏิบัติทั่วไป
เวลาผ่านมากว่า 2 เดือน คุณเอติดต่อแทบทุกวันเพื่อไถ่ถอนรถคืน แต่ตุ๊กอ้างว่ามีปัญหาหลายอย่าง ต้องย้ายรถไปไว้อีกเจ้าหนึ่ง ต้องเปลี่ยนดอกเบี้ย ต้องเปลี่ยนที่จอด และรอเงินเดือนออกจึงจะนำรถมาคืน โดยก่อนหน้านี้ตุ๊กเคยบอกว่ารถอยู่กับสามีที่เป็นตำรวจ กระทั่งวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา คุณเอก็ไม่สามารถติดต่อได้อีก
ต่อมาคุณเอบอกว่าจะไถ่รถคืน ถามตุ๊กไปว่าต้องโอนเท่าไหร่ถึงจะได้รถคืน ให้รวมยอดมาเลย ตุ๊กแจ้งว่า โอนยอด 8,000 บาท แต่โอนไปแล้วกลับไม่ได้รถคืน บ่ายเบี่ยงอยู่เรื่อยมา พยายามทวงรถคืน ถามเขาว่า “รถกูอยู่ไหน เอารถกูไปทำอะไร” เขาก็พยายามบ่ายเบี่ยงว่า รถยังอยู่ อยู่ในโกดัง ถ้าจะไถ่ก็โอนมาเพิ่มอีก 3,000 กว่าบาท แล้วเอารถคืนไป เรายืนยันว่าไม่โอน เพราะเราโอนครบไปหมดแล้ว
หลังจากนั้นคุณเอพยายามสืบหาจนพบว่ารถถูกนำไปจำนำต่อในจังหวัดบุรีรัมย์ ในราคา 3 หมื่นกว่าบาท คุณเอติดต่อกับ เฮียกบ คนที่รับจำนำรถ เล่าปัญหาทั้งหมดให้ฟัง เฮียกบยืนยันว่าผู้ที่นำรถมาจำนำไม่เคยติดต่อมาอีกเลย มีเพียงการติดต่อครั้งเดียวเพื่อขอเพิ่มยอดเงิน โดยอ้างว่าเป็นลูกเจ้าของรถ ซึ่งรถคันนี้เป็นชื่อของพ่อคุณเอ
ทางรายการการได้โฟนอินหาเฮียกบ ทราบว่า คนที่ติดต่อขอเอารถมาจำนำ ชื่อน้ำ ซึ่งเป็นคนรู้จักกับเฮีย มาบอกเฮียว่า เพื่อนของน้ำชื่อ “ตุ๊ก” เดือดร้อนหนัก สามีอยู่ต่างประเทศ จะส่งเงินมาให้ ต้องการใช้เงินด่วน ตอนที่มาทำสัญญา ตุ๊กเป็นคนมาเซ็น โดยเอกสาร สำเนาบัตร มันค่อนข้างเลือนราง ชื่อเจ้าของรถเป็นชื่อผู้ชาย แต่เขาบอกว่าเป็นลูกสาว เราก็ไม่ติดใจอะไร ให้เขาทำสัญญา แต่ตุ๊กผิดสัญญาจ่ายดอกเรื่อยมา ผัดผ่อนไม่พอ ยังมาขอเงินเพิ่ม อ้างว่าเดือดร้อน ลูกไม่มีค่านม โทรมาร้องห่มร้องไห้ ว่าอุ้มลูกมา บขส. ไม่มีค่ารถ ขอเงินเพิ่มหลายครั้งจนยอดจำนำไปไกลเกือบ 4 หมื่นบาท
สุดท้ายพอมารู้เรื่องจากคุณเอ ว่าเป็นเจ้าของที่แท้จริง รู้แน่แล้วว่าถูกมิจฉาชีพหลอก ต้องมีปัญหาแน่ เลยยังเก็บรถเอาไว้ อยากรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ
ขณะที่ดำเนินรายการนั้น ก็มีข่าวว่า ตุ๊กถูกตำรวจจับกุมแล้วเรียบร้อย ซึ่งกรณีนี้ ทนายแก้วแจ้งกับเฮียกบว่า ความผิดเดิมที่จะเป็นรับของโจร หากเฮียพิสูจน์ได้ว่า ณ วันรับรถไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ของโจรที่ถูกยักยอกมา ตรงนี้ก็ถือว่าไม่ผิด แต่ความผิดใหม่ที่อาจจะเกิดกับเฮีย ก็คือความผิดยักยอกทรัพย์ สิ่งที่จะแนะนำได้ในตอนนี้ คือการเอารถไปคืนไว้ที่โรงพัก นัดหมายให้คุณเอไปรับรถคืน ส่วนค่าเสียหายที่ตุ๊กหลอกเอาเงินไป เป็นภาระที่เฮียจะต้องไปตามทวงกับตุ๊กเอง
สุดท้ายเมื่อตุ๊กถูกจับกุมแล้ว ก็คาดว่าน่าจะมีเจ้าทุกข์ไปแจ้งความเพิ่มอีกมาก เช่น เฮียกบ ต้องไปแจ้งความเอาผิดตุ๊กฐานฉ้อโกง, กระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง ในฐานะผู้เสียหายที่ถูกตุ๊กเอาไปแอบอ้าง ก็ต้องไปแจ้งความเพิ่มด้วยเช่นกัน