รายการโหนกระแสวันนี้ พูดคุยกับ หญิงสาวรายหนึ่งชื่อ “คุณส้ม” มาเปิดใจเล่าชีวิตครอบครัวที่พังทลาย หลังอดีตสามี ที่มีลูกด้วยกันถึง 2 คน เธอมารู้ความจริงภายหลังว่า สามีแอบมีผู้ชายคนอื่น เพิ่งรู้ว่าสามีตัวเองเป็น LGBTQ แม้เธอจะรู้ความจริง และพยายามเก็บงำเรื่องนี้ไว้คนเดียวอยู่นานนับปี โดยให้เหตุผลว่า ทนเพื่อลูก แต่สุดท้ายก็ต้องหย่าร้าง ทิ้งหนี้สินจำนวนมาก รวมถึงบ้านที่กู้ร่วมกัน ซึ่งตอนนี้ใกล้ถูกยึด ขณะที่พ่อของอดีตสามีกำลังป่วยหนัก อดีตสามีกลับขาดการติดต่อ
คุณส้มเล่าว่า เธอกับอดีตสามีคบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ก่อนแต่งงานในปี 2556 และจดทะเบียนสมรสในปี 2557 มีลูกด้วยกัน 2 คน ช่วงแรกอดีตสามีเป็นคนดีมาก ดูแลครอบครัวและคนรอบข้างอย่างดี ชีวิตครอบครัวเป็นไปอย่างปกติสุข
แต่จุดเปลี่ยนเริ่มต้นขึ้นช่วงก่อนโควิด เมื่อค่าใช้จ่ายในครอบครัวเพิ่มขึ้น อดีตสามีจึงเปลี่ยนที่ทำงานเพื่อเพิ่มรายได้ ต่อมาเขาขอแยกห้องนอน อ้างว่ากลัวนำโควิดมาติดลูก จากนั้นพฤติกรรมเริ่มแปลกขึ้น เช่น หวงโทรศัพท์ กระชากมือถือเมื่อคุณส้มพยายามดู
ช่วง Work from home คุณส้มสังเกตว่าเขาเริ่มคุยกับผู้ชายคนหนึ่งอย่างลึกซึ้ง และมีพฤติกรรมใช้แอปหาคู่ชาย-ชาย ดูคลิปเพศเดียวกัน เธอทนเห็นแชตสามีคุยเรื่องอย่างว่ากับชายอื่นทุกวัน นัดไปมีสัมพันธ์กัน แล้วกลับมาบ้านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อถามว่า ทำไมถึงทนเจอเหตุการณ์นี้อยู่ได้เป็นปีๆ คุณส้มบอกว่า “เพื่อลูก”
“พื้นฐานของหนูเอง หนูไม่มีพ่อไม่มีแม่ หนูโตมากับญาติ พ่อแม่เสียตั้งแต่เด็ก ความอ้างว้างของการไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ มันเลวร้ายนะพี่ หนูไม่อยากให้ลูกเป็นแบบนั้น ก็เลยพยาบามทนทุกอย่าง เพื่อไม่ให้มีการหย่าร้าง เขาเป็นผู้ชายที่ดีมาก การทำหน้าที่ที่เขาทำกับทุกคน เขาดีมากๆ กับเราไม่เป็นไรค่ะ” คุณส้มกล่าว
แต่ต่อมา เจอว่าสามีเริ่มเล่นแอปหาคู่ ชาย-ชาย ส่วนคู่ขาของเขาก็สนับสนุนให้สามีเราไปมีอะไรกับชายอื่นอีกหลายต่อหลายคน ส่งคอนแทกคนนั้นคนนี้มาให้สามีเรานัดไปมีอะไรด้วย กระทั่งค้นพบว่าอดีตสามีกินยาต้าน HIV และมีการหาข้อมูลเกี่ยวกับการติดเชื้อ ยิ่งไปกว่านั้นที่หน้าที่ของพ่อเขาก็ไม่ทำ จากที่เคยพาลูกไปทำกิจกรรมในวันหยุด ก็ไม่ทำแล้ว แต่เรื่องการเอาค่าใช้จ่ายมาจุนเจือครอบครัว เขาก็ยังให้ปกติ เดือนละ 20,000 บาท
สุดท้าย คุณส้มตัดสินใจรวบรวมหลักฐานทุกอย่าง เพื่อจะขอหย่า และตัดสินใจบอกครอบครัวของตัวเอง และบอกคุณพ่อของสามี พอคุณพ่อรู้ความจริง ท่านถึงกับร้องไห้ สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจเอาหลักฐานทั้งหมดให้สามีดู และขอหย่า
หลังการหย่า คุณส้มไม่ได้เรียกร้องใด ๆ มากนัก นอกจากสิทธิในการเลี้ยงดูลูก และขอเพียงค่าเลี้ยงดูเดือนละ 5,000 บาท พร้อมให้พ่ออดีตสามีพักอยู่ในบ้านต่อ เพราะช่วยเลี้ยงหลานมาตลอด และสามีหากประสงค์จะอยู่ในบ้านต่อ ก็อยู่ได้ เราไม่มีสิทธิ์จะไล่ใครออกจากบ้าน โดยตั้งใจให้บ้านหลังนี้เป็นมรดกของลูก ๆ โดยค่างวดบ้านให้ช่วยกันออกคนละครึ่ง ส่วนหนี้บัตรเครดิต ต่างคนต่างรับผิดชอบของตัวเอง ข้อตกลงทั้งหมดนี้สลักหลังไว้หลังใบหย่า
อดีตสามีทำตามข้อตกลงได้เพียง 6 เดือน แล้วค่อยๆ จ่ายน้อยลง แล้วก็ค่อยๆ เฟดตัวหายออกไปจากบ้าน เริ่มหยุดจ่ายหนี้บ้านและค่าเลี้ยงดูลูก คุณส้มทราบภายหลังว่าเขาถูกไล่ออกจากงาน เพราะมีปัญหาเรื่องวินัย แล้วหายหน้าไปอย่างถาวร จนต้องแจ้งความตามหาเพื่อให้พ่อของเขาได้พบลูกชาย
เมื่อเจอกันอีกครั้ง อดีตสามีดูสุขภาพไม่ดี และสารภาพว่าเป็นหนี้จำนวนมาก มีทั้งบัตรเครดิตและหนี้ส่วนตัวหลักล้านกว่าบาท ทราบว่าสามีเอาเงินไปลงทุนกับ The iCon เหมือนกับว่าเขาไปรับของมาสต็อกไว้ แต่ไม่สามารถขายได้ จนจมทุนหนัก คุณส้มพยายามประนีประนอม ขอเพียงให้อดีตสามีช่วยรับผิดชอบตามกำลัง และติดต่อกับลูกบ้าง
แต่หลังจากนั้นเขาก็ยังหายเงียบ แม้คุณส้มจะพยายามนัดเจอเพื่อไกล่เกลี่ยหนี้ และติดต่อผ่านหัวหน้างาน ก็ไม่สำเร็จ กระทั่งพ่อของอดีตสามีเริ่มป่วยหนักด้วยโรคมะเร็ง คุณส้มจึงพยายามอีกครั้งเพื่อให้พ่อลูกได้เจอกัน ทว่าอดีตสามีกลับโกหกว่าติดต่อพ่อแล้ว ทั้งที่ไม่ได้ติดต่อจริง แม้ลูกสาวของพ่อที่เป็นพยาบาลจะวอนให้คุณส้มช่วยตามตัว เพื่อให้พ่อลูกเคลียร์ใจกันก่อนสิ้นลม แต่ความพยายามก็ยังไม่สำเร็จ
ขณะที่ ดร.นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โฆษกกรมสุขภาพจิต เผยว่า การจะวิเคราะห์เรื่องของรสนิยมทางเพศ ว่าใครเป็น Homosexual หรือ Bisexual ตั้งแต่เริ่ม หรือเพิ่งมาเปลี่ยนนั้น เราไม่สามารถให้คำตอบได้ เพราะปัจจัยแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ด้วยวัฒนธรรม การเลี้ยงดู หรือจารีต บางอย่างที่บังคับให้คนเติบโตมาด้วยค่านิยมว่า ชายต้องคู่กับหญิงเท่านั้น ทำให้เขารู้สึกต้องถูกบังคับให้แต่งงานกับผู้หญิง ผู้หญิงคนนั้นก็อาจจะโชคร้าย
ส่วนประเด็นขอคุณส้ม มันต้องแบ่งออกเป็น 3 ประเด็น เรื่องรสนิยมทางเพศ มันไม่ใช่เรื่องผิด มันบังคับ หรือเปลี่ยนแปลงกันได้ยาก แต่อีก 2 ประเด็นที่เป็นปัญหา คือ ความรับผิดชอบ ที่จะเลี้ยงดูลูก หรือไปก่อหนี้ก่อสิน และอีกเรื่องคือพฤติกรรมของความเจ้าชู้ ที่พอคุณรู้ตัวแล้วว่าคุณเป็นแบบไหน รสนิยมแบบไหน แต่แทนที่คุณจะยอมรับ เปิดเผย เผชิญหน้าความจริง คุณกลับโกหกและไปมีคู่นอนอีกมากมาย สิ่งที่เขาเจอมาในชีวิตมันอาจจะมีเรื่องเลวร้ายมากมาย แต่สิ่งดีสิ่งเดียวคือการที่เขามีภรรยาที่เข้มแข็ง และพยายามเข้าใจมาตลอด แต่พฤติกรรมเจ้าชู้และโกหกนี้เอง ที่ทำให้เขาเสียสิ่งดีที่สุดในชีวิตอย่างคุณส้มไป
ขณะที่แพรรี่ โฟนอินเข้ามา ให้ความเห็นว่า การที่คุณจะมีรสนิยมทางเพศเปลี่ยนไปมันไม่ผิดนะคะ แต่ถ้าคุณมีคู่ครอง มีครอบครัว คุณต้องบอกเขา ต้องเคลียร์ให้ชัด ต้องบอกเขา อย่าปกปิด การที่คุณเคยมีเมียแล้วจะไปมีผัวมันไม่ผิดนะคะ แต่ไม่ใช่มีผัวไปด้วย มีเมียไปด้วย อันนี้เห็นแก่ตัวค่ะ จะเปิดประตูหลังต้องปิดประตูหน้าให้เรียบร้อยก่อน ให้เกียรติคนในบ้านก่อนค่ะ
สุดท้าย ทนายแก้วบอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หาทางออกยาก แต่ยังพอหาทางได้ อย่างน้อยคือ คุณส้มต้องลองประนอมหนี้ แม้จริงๆแล้ว เจ้าหนี้ส่วนมากเขาจะไม่มารับรู้เรื่องส่วนตัวของลูกหนี้ แต่ก็อาจต้องลองดูก่อน บ้านถ้าเป็นไปได้อาจต้องขาย เพื่อเอาเงินได้มาไปปิดหนี้ แล้วเอาเงินส่วนที่เหลือไปหาที่อยู่อาศัยใหม่