รายการโหนกระแสวันนี้ พูดคุยกันต่อกรณี ฝ่ายกัมพูชายังคงละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่มีผลตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 แม้ฝ่ายไทยจะยุติการใช้กำลังทันทีตามที่ได้ตกลงไว้ โดยพบว่าตลอดคืนจนถึงเช้าวันที่ 29 กรกฎาคม หน่วยทหารในพื้นที่แนวชายแดนตรวจพบการก่อกวนและการใช้อาวุธยิงสนับสนุนเข้ามายังฝั่งไทยหลายพื้นที่ ได้แก่ ช่องบก ช่องอานม้า ซำแต ปราสาทตาควาย และภูมะเขือ
ฝ่ายไทยได้ตอบโต้ตามสถานการณ์อย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้การปฏิบัติทางทหารของฝ่ายกัมพูชาลุกลามเข้าสู่พื้นที่ภายในประเทศ โดยอาศัยสิทธิในการป้องกันตนเองอย่างชอบธรรม ภายใต้กรอบกฎหมายสากล
ในเรื่องการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงนั้น ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า สาเหตุที่กัมพูชาไม่ยอมหยุดยิง แม้จะมีข้อตกลงกันแล้วก็ตาม เป็นเพราะ หลักการพื้นฐานที่ใช้ในการกำหนดขอบเขตของดินแดน หรือพื้นที่ หลังจากมีการหยุดยิงหรือการพักรบ แต่ละฝ่ายจะต้องคงอยู่ในตำแหน่งที่ตนเองยึดครองอยู่ ณ ขณะที่การยิงหยุดลง โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือรุกคืบเข้าไปในพื้นที่ของอีกฝ่าย
หลักการคือ "ใครอยู่ตรงไหน ต้องอยู่ตรงนั้น" เพื่อรักษาเสถียรภาพและความสงบเรียบร้อยหลังจากการหยุดยิง โดยการป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะหรือการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตเพิ่มเติม นั่นคือสาเหตุว่าทำไมกัมพูชาถึงยังคงรุกคืบเข้ามาไม่หยุดก่อนจะมีเส้นตายหยุดยิงตอนเที่ยงคืน หรือแม้แต่ตอนที่เลยเส้นตายไปแล้ว เพื่อให้เขาได้ยึกครองพื้นที่ให้มมากที่สุดก่อนหยุดยิง โดยเฉพาะในพื้นที่ปราสาทตาควายที่เขาอยากได้ตัวปราสาท
รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช นักวิชาการด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวถึง นิทานเรื่อง “พระโค-พระแก้ว” ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่ถูกสอดแทรกอยู่ในระบบการศึกษาของกัมพูชา และมีบทบาทสำคัญในการสร้างภาพจำเกี่ยวกับความเป็นศัตรูระหว่างเขมรและไทย โดยนิทานเรื่องนี้เล่าถึงตัวละครสองพี่น้อง พระโค (วัวศักดิ์สิทธิ์) และพระแก้ว (มนุษย์) ซึ่งถือกำเนิดพร้อมกันและมีอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติ
เรื่องราวดำเนินไปจนฝ่าย “สยาม” ได้ยินกิตติศัพท์ของทั้งสอง จึงส่งทูตมาท้าประลอง และต่อมาก็ยกกองทัพมารุกรานจนสามารถจับตัวพระโคและพระแก้วกลับไปยังกรุงศรีอยุธยา พร้อมด้วยสมบัติและภูมิปัญญาทั้งหมดของกัมพูชา นิทานจบลงด้วยการสูญเสียทั้งทรัพย์สิน อัตลักษณ์ และเกียรติภูมิของกัมพูชาให้แก่สยาม และกลายเป็นสาเหตุที่อธิบายความเสื่อมถอยของเขมรในมุมมองของนิทาน
เนื้อหาของนิทานไม่ได้เพียงให้ความบันเทิงหรืออธิบายเหตุการณ์ในอดีตเท่านั้น แต่ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือปลุกเร้าอารมณ์ชาตินิยม โดยเฉพาะในหมู่เด็กและเยาวชนชาวกัมพูชา ซึ่งถูกปลูกฝังให้จดจำว่า “ไทยขโมยพระโค-พระแก้วไป” เปรียบเสมือนขโมยปัญญาและจิตวิญญาณของเขมรไปด้วย
แม้ในทางประวัติศาสตร์จะไม่มีหลักฐานที่ตรงกับเนื้อหานิทาน แต่เรื่องเล่านี้กลับได้รับการนำเสนออย่างต่อเนื่องและได้รับการขยายความในเชิงสัญลักษณ์ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา เช่น กรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร
รศ.ดร.ดุลยภาค ตั้งข้อสังเกตว่า นิทานเรื่องนี้มีบทบาทในกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ชาติของกัมพูชาในยุคหลังอาณานิคม และสะท้อนถึงวิธีที่รัฐใช้ประวัติศาสตร์และตำนานในการกำหนดความรู้สึกของประชาชนต่อประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งกลายเป็นแรงเสียดทานเชิงจิตวิทยาที่ซ่อนอยู่ในความขัดแย้งชายแดนในปัจจุบัน
นอกจากนี้ รศ.ดร.ดุลยภาค ยังได้อธิบายถึงกรณีการปลูกฝังความเชื่อเกี่ยวกับ “พระเสด็จกอน” (Preah Sdach Korn) ว่า เป็นยุทธศาสตร์ทางวัฒนธรรมที่ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับ สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา
พระเสด็จกอนเป็นกษัตริย์ที่มีตำนานเล่าว่าเคยเป็นสามัญชน ก่อนจะขึ้นครองราชย์ด้วยบารมีส่วนตัว จึงถูกยกเป็นสัญลักษณ์ของผู้นำจากรากหญ้าที่มีบุญญาธิการ ซึ่งสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของฮุน เซน ที่มาจากพื้นเพชาวนา แต่ก้าวขึ้นสู่อำนาจสูงสุดในประเทศ
รศ.ดร.ดุลยภาคระบุว่า มีการสร้างเรื่องราวชวนเชื่อว่า ฮุน เซน คือ “อวตารของพระเสด็จกอน” และมีการผลักดันแนวคิดนี้ผ่านสื่อวัฒนธรรมหลายรูปแบบ เช่น ละครเวทีที่ภรรยาของฮุน เซน อย่าง บุน รานี เป็นผู้สนับสนุนโดยตรง รวมถึงการจัดสร้างรูปเคารพพระเสด็จกอนที่มีใบหน้าคล้ายฮุน เซนอย่างชัดเจน
แนวทางนี้ถูกวิเคราะห์ว่าเป็นการผูกโยงอำนาจกับความเชื่อ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการปกครอง โดยเฉพาะในบริบทที่ฮุน เซนไม่ได้มีชาติกำเนิดจากชนชั้นนำดั้งเดิม การอ้างอิงบุญบารมีจากอดีตกษัตริย์จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมความชอบธรรมในสายตาประชาชน
ขณะที่ ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมอธิบายในรายการว่า การกระทำของกัมพูชาอาจเข้าข่าย “อาชญากรรมสงคราม” ภายใต้ “ธรรมนูญกรุงโรม” ซึ่งเป็นสนธิสัญญาจัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) โดยศาลนี้มีอำนาจพิจารณาคดีร้ายแรง 4 ประเภท ได้แก่ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์, อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ, อาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมแห่งการรุกราน
โดยเฉพาะการโจมตีเป้าหมายที่เป็นพลเรือน เช่น โรงพยาบาล และที่พักอาศัย ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก อาจถือว่าเข้าข่ายการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และเป็น “อาชญากรรมสงคราม” ตามนิยามของศาล ICC
สิ่งที่แนะนำคือ ไทยควรต้องหาคนกลาง ในที่นี้ก็คือ ศาลอาญาระหว่างประเทศ ดำเนินการเอาผิดกัมพูชาผ่านศาล ICC เมื่อมีพฤติการณ์ที่อาจเข้าข่ายการกระทำผิดอย่างชัดเจนในระดับนานาชาติ