รายการโหนกระแสวันนี้ (30 ต.ค. 68) กลับมาพูดคุยกันเรื่องผู้เสียหายที่ซื้อบ้านผ่อนตรงกับนายหน้าชื่อ "โอ๋" ซึ่งในเทปที่แล้ว (EP.1) กลุ่มผู้เสียหายหลายราย นำโดยคุณหญิง ได้ออกมาร้องเรียนว่าผ่อนบ้านไปนานหลายปี แต่กลับพบว่าบ้านยังเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคาร ทำให้ถูกไล่ที่ บางรายถูกข่มขู่และพ่นสีหน้าบ้านว่าบุกรุก
ในรายการวันนี้ คุณโอ๋ นายหน้าขายบ้าน ได้มาพร้อมกับทนายความ ทนายทัศไนย เพื่อชี้แจงเพิ่มเติมในมุมของตนเอง โดยมีฝั่งผู้เสียหาย นำโดยคุณหญิง ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่ผ่อนบ้านราคา 4.5 ล้านบาท และผู้เสียหายรายอื่นๆ มาร่วมรายการ
คุณโอ๋เริ่มต้นด้วยการยืนยันว่า ในเคสของคุณหญิง ที่มาร้องห่มร้องไห้ในรายการ EP.1 ว่าถูกโอ๋โกง ถูกข่มขู่คุกคาม และถูกขับไล่ออกจากบ้าน จนทำให้สังคมเข้าใจผิดนั้น คุณโอ๋ยืนยันว่า ในความเป็นจริง คุณหญิงรู้ดีอยู่แล้วว่าบ้านที่เขาซื้อนั้นเป็นบ้านของธนาคารตั้งแต่แรก คุณหญิงเป็นฝ่ายติดต่อมาหาคุณโอ๋เองเพื่อขอซื้อบ้านหลังนี้ และได้ยื่นแสดงบัญชีการเงินของตัวเองที่ระบุว่ามีหนี้สิน ไม่สามารถยื่นกู้ธนาคารได้ จึงมาขอให้คุณโอ๋ช่วย คุณโอ๋ยืนยันว่ามีหลักฐานเป็นแชตข้อความที่คุณหญิงทักมาหาตั้งแต่วันแรก
คุณโอ๋กล่าวว่า เมื่อตกลงซื้อขายบ้านกันในราคา 4.5 ล้านบาท แต่หลังจากผ่อนไปได้สักระยะ คุณหญิงกลับเป็นฝ่ายผิดสัญญากับโอ๋ก่อน โดยคุณหญิงยอมรับเองว่ามี "ผู้ใหญ่" คนหนึ่งมาช่วยเหลือ ทำให้เธอได้บ้านหลังนี้ไปผ่อนกับธนาคารโดยตรง ในราคาเพียง 3.7 ล้านบาท ซึ่งถูกกว่าราคาที่ทำสัญญาไว้กับโอ๋ คุณโอ๋อธิบายว่า การที่คุณหญิงจะเอาบ้านหลังนี้ไปผ่อนกับธนาคารเอง มันจึงเกิดส่วนต่างราคาขึ้น ซึ่งคุณหญิงจะต้องหาเงินมาจ่ายคืนให้กับโอ๋ แต่ในวันไกล่เกลี่ย คุณหญิงไม่มีเงินมาจ่ายและร้องไห้ สุดท้ายคุณโอ๋อ้างว่าตนไม่อยากมีปัญหา จึงยอมยกส่วนต่างนี้ให้ และได้ให้คุณหญิงทำสัญญาตกลงว่าจะไม่มีการมาฟ้องร้องอะไรกันอีก
คุณโอ๋ยืนยันว่า ไม่เคยส่งคนไปข่มขู่คุกคามคุณหญิงตามที่กล่าวอ้าง ส่วนหลักฐานที่อีกฝ่ายนำมาเปิดเผย ก็เป็นเพียงภาพที่โอ๋เดินไปถ่ายรูปหน้าบ้านเขาเท่านั้น
ฝั่งคุณหญิงได้แย้งในประเด็นนี้ว่า สาเหตุที่ตนหยุดผ่อนจ่ายกับคุณโอ๋ในวันที่ 5 เมษายน 67 นั้น เป็นเพราะย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 67 ได้มีเจ้าหน้าที่ธนาคารมาที่บ้าน และแจ้งว่าตนกำลังบุกรุก โดยยืนยันว่าบ้านหลังนี้เป็นทรัพย์ของธนาคาร ไม่ใช่ทรัพย์ของคุณโอ๋ การที่ตนอาศัยอยู่จึงถือว่าผิดฐานบุกรุก
ต่อมาในวันที่ 10 เมษายน 67 ธนาคารได้นัดให้คุณหญิงเข้าไปพบที่สาขาเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยปัญหา ในวันนั้น ที่มีการเจรจาเรื่องส่วนต่างตามที่คุณโอ๋กล่าว คุณหญิงยืนยันว่า ตนไม่สามารถหาเงิน 1 ล้านกว่าบาทมาจ่ายตามที่คุณโอ๋เรียกร้องได้ เมื่อรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม คุณหญิงจึงไปร้องเรียนต่อธนาคารที่สำนักงานใหญ่ จนกระทั่งสำนักงานใหญ่ได้ส่งเรื่องกลับมาสอบถามที่สาขา และมีการไล่บี้เรื่องเพื่อให้ความเป็นธรรม จนสุดท้ายทำให้คุณหญิงได้บ้านมาผ่อนกับธนาคารโดยตรงในที่สุด
ส่วนประเด็นเรื่องแชตที่คุณโอ๋นำมาอ้างว่าตนรู้เรื่องสถานะบ้านตั้งแต่แรกนั้น คุณหญิงยืนยันว่า แชตที่คุณโอ๋เอามาแสดง เป็นแชตที่ถูกตัดตอนมาจากหลายเหตุการณ์มาต่อกัน ไม่ใช่แชตบทสนทนาเต็ม ซึ่งตนมีหลักฐานแชตเต็มที่ไม่มีการลบ
เคสต่อมา เป็นเรื่องของคุณออย ที่ทำสัญญาซื้อบ้าน วางมัดจำ 35,000 บาท แล้วก็ทำสัญญาผ่อนเรื่อยมาถึงปัจจุบัน รวมยอดผ่อนประมาณ 496,000 บาท จู่ๆ มีธนาคารมาแจ้งว่า มีคนมาช้อนซื้อบ้านหลังนี้ไปแล้ว คุณออยจึงงงว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร จึงไปย้อนดูสัญญา ทำให้รู้ว่าสัญญาที่ตนทำตั้งแต่วันแรกนั้น ในสัญญาเป็นบ้านคนละหลัง กับที่ตนอยู่อาศัยจริงและได้ต่อเติมไปเยอะแล้ว
เคสนี้ คุณโอ๋ยอมรับความผิดพลาดเรื่องสัญญา และพยายามแก้ไขปัญหาให้ลูกค้า โดยถามว่าจะเอาบ้านหลังนี้เหมือนเดิม หรือจะเอาบ้านหลังใหม่ ถ้าหากยอมย้ายไปบ้านหลังใหม่ซึ่งมีพื้นที่ใหญ่กว่า ค่าใช้จ่ายทั้งหมดโอ๋จะรับผิดชอบ แต่คุณออยยืนยันว่าบ้านหลังนี้ตนได้ต่อเติมทำอะไรไปเยอะแล้ว และไม่อยากย้ายออก คุณโอ๋จึงขอเบอร์คนที่ช้อนซื้อบ้านหลังนี้ไป เพื่อจะไปขอซื้อต่อจากคนนั้นอีกที เพื่อให้คุณออยได้อยู่บ้านหลังนี้ต่อไป
แต่คุณโอ๋มารู้ทีหลังว่า แท้จริงคนที่ช้อนซื้อบ้านหลังดังกล่าวไป ก็คือ คุณกัน (ผู้เสียหายอีกคนใน EP.1) ซึ่งเคยเป็นคู่กรณีกับโอ๋มาก่อน ทำให้คุณโอ๋สงสัยว่า คุณกันเจตนากลั่นแกล้งโอ๋หรือเปล่า
คุณกัน ซึ่งวันนี้มาร่วมรายการด้วย ชี้แจงว่า ตนก็ถูกธนาคารไล่ที่ออกจากบ้านที่ผ่อนกับคุณโอ๋ ทำให้ต้องหาบ้านใหม่ พอดีทาง ธอส. แนะนำว่ามีบ้านหลังนี้ (บ้านที่คุณออยอยู่) ตนก็เลยซื้อ ไม่ได้รู้ว่าเป็นบ้านใคร และไม่รู้จักคุณออยมาก่อน จะบอกว่าตนเจตนาแกล้งคุณโอ๋ได้อย่างไร
คุณโอ๋ยืนยันว่า ในเคสของคุณออย จะรับผิดชอบ และพร้อมจะเจรจาหาทางตกลงในเรื่องนี้ให้ได้ อยู่ที่ว่าคุณออยต้องการอย่างไร
ด้าน ทนายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายคนกลางที่มาฟังในรายการ ได้กล่าวขึ้นมาว่า หลังจากฟังมาทั้งหมด ที่พูดกันอยู่ทั้งหมดนี้เป็นปลายเหตุทั้งสิ้น ต้นเหตุคือ คุณโอ๋ไปซื้อบ้านที่เป็น “ทรัพย์แบงก์” ที่ธนาคารเขาไปซื้อมาจากกรมบังคับคดี ทำเหมือนว่าคุณโอ๋จะซื้อมาอยู่เอง ทั้งทำเองและส่งตัวแทนไปช้อนซื้อมาหลายหลัง โดยบอกว่าจะซื้อมาอยู่อาศัยเอง ไม่ได้บอกว่าจะซื้อมาทำธุรกิจขายต่อ พอธนาคารมาเห็นว่าคนอื่นมาอยู่ ไม่ใช่คุณโอ๋ มันก็เป็นการบุกรุกทรัพย์แบงก์ เขาถึงมาไล่เอา เราต้องเอาความจริงตรงนี้มาคุยกัน
ทนายสายหยุดกล่าวว่า ธุรกิจที่คุณโอ๋ทำ มันเหมือนการจับเสือมือเปล่า ธนาคารเขาให้เวลาคุณ 20 - 24 เดือน ในการไปปิดยอด ให้คุณอยู่เอง แต่สุดท้ายคุณเอามาขายคนอื่นต่อ ตกแต่งนิดหน่อย แล้วขายออกไป ได้กำไรแน่นอน แต่คุณได้บอกลูกค้าไหมว่า "คุณไม่ได้ซื้อมานะ คุณแค่วางมัดจำมานะ ถ้าฉันผ่อนไม่ไหวเธอเดือดร้อนนะ" อันนี้คุณโอ๋ได้แจ้งลูกค้าหรือไม่ การที่คุณโอ๋แบกภาระบ้านไม่ไหว เอาไปจำนองบ้าง เอาไปวางนอกระบบบ้าง ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แล้วคนที่ซื้อบ้านต่อไปเขาเลยมารับกรรม นี่ต่างหากที่เป็นต้นเหตุ วันนี้เราต้องเอาเรื่องจริง เอาต้นเหตุมาคุยกัน
ขณะที่คุณโอ๋บอกว่า บ้านทั้งหมด 29 หลัง ที่เป็นบ้านของโอ๋ที่ไปทำสัญญากับแบงก์มา เราสามารถปิดยอดได้เกือบทุกหลัง ยืนยันว่าที่ทนายสายหยุดบอกว่าเราแบกไม่ไหว มันไม่จริง มีหลายเคส หลายหลัง ที่เราจ่ายครบ หรือจ่ายเกินสัญญากับธนาคารแล้ว แต่ทำไมถึงโอนบ้านไม่ได้ อันนี้ธนาคารต้องตอบ
ทนายแก้วกล่าวเสริมว่า ตามหลักกฎหมาย การที่เราจะไปประมูลบ้านกับธนาคารพาณิชย์มา ต้องระบุวัตถุประสงค์ว่าเราซื้อไปทำไม จะซื้อไปอยู่เอง หรือเอาไปขายต่อ ปล่อยเช่าก็ว่าไป แต่คุณโอ๋ยืนยันว่า เรื่องนี้ก็ไม่จริง เพราะถ้าธนาคารคิดว่าเราซื้อไปอยู่เอง เขาจะปล่อยบ้านมาให้เราได้ยังไง ลอตละ 10 หลัง ไม่มีใครซื้อบ้านอยู่เองพร้อมกัน 10 หลังหรอก อันนี้ธนาคารต้องมาตอบ
ทนายสายหยุดยังจี้ถามคุณโอ๋อีกว่า ในเคสของคุณออย คุณเอาสิทธิ์อะไรชี้ให้คุณออยเข้าไปอยู่ในบ้านที่เป็นทรัพย์แบงก์ ทั้งที่คุณยังไม่ได้ซื้อ เป็นเพราะคุณคิดว่าไม่มีใครมาประมูลแข่งกับคุณ คุณได้แน่ คุณเลยกล้าชี้ให้เขาไปอยู่ในบ้านนั้น ใช่หรือไม่? แต่พอถึงเวลา มีคนมาประมูลแข่ง แล้วคุณโอ๋แพ้ บ้านกลายเป็นของคนอื่น ก็เลยหลุด เกิดเหตุแบบนี้ จริงไหม
คุณโอ๋ยืนยันว่า ไม่จริง บ้านเป็นกรรมสิทธิ์ของโอ๋ทั้งสองหลัง คือหลังที่คุณออยอยู่อาศัยจริง (ไม่มีเลขในสัญญา) และ หลังที่อยู่ในสัญญา (แต่ไม่มีคนอาศัย) ความผิดพลาดเกิดจากการเขียนผิดในสัญญาเท่านั้นเอง
ทนายสายหยุดจึงจี้ถามอีกว่า แล้วถ้าคุณอ้างว่ามันเป็นการเขียนผิด แล้วมันมีคนมาซื้อบ้านที่เป็นกรรมสิทธิ์ของคุณได้ยังไง พอถึงเวลาพูดว่าเรื่องไหนคุณทำสำเร็จคุณบอกว่าตัวเองมืออาชีพ พอมีปัญหาคุณจะอ้างว่าเป็นความผิดพลาด เขียนผิด มันใช่หรือ?
แล้วทนายสายหยุดยังโต้แย้งอีกว่า ที่คุณโอ๋ เอามาโชว์ว่า บ้าน 29 หลัง ปิดยอดได้จริง 25 หลัง มันก็ต้องปิดได้อยู่แล้ว เพราะลูกค้าที่มาซื้อต่อจากคุณโอ๋ เขาเครดิตดี เขาไปกู้ต่อธนาคารได้เอง ก็ปิดจบไปมันก็เท่านั้น มันเกี่ยวอะไรกับคุณโอ๋ แต่เคสไหนที่เครดิตไม่ดี กู้เองไม่ได้ ก็มีปัญหาแบบเคสคุณหญิง หรือเคสที่มานั่งในรายการแบบนี้ไง
ทนายสายหยุดยังตั้งคำถามว่า คุณโอ๋เป็นใครมาจากไหน ไปซื้อบ้านที 20-30 หลัง เครดิตคุณดีมากจากไหน ทำอาชีพอะไร เดี๋ยวพูดไปก็ไปเจอว่ามีนายทุน มีอะไรมาอยู่เบื้องหลังอีกหรือเปล่า
นอกจากนี้ ยังมีกรณีของคุณโอ ที่ผ่อนบ้านกับคุณโอ๋มานาน 4-5 ปี เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา จู่ๆ ก็มีนายทุนคนหนึ่งมาแจ้งว่า ให้หยุดจ่ายค่างวดบ้านให้คุณโอ๋ เพราะบ้านหลังนี้ คุณโอ๋ได้นำมาจำนองไว้กับตน (นายทุน) แต่คุณโอ๋ไม่ยอมมาจ่ายหนี้ ทำให้อาจจะกลายเป็นของนายทุนได้ ทำให้คุณโอช็อกไปเลย ว่าบ้านที่ตนผ่อนมา 4-5 แสนบาท ทำไมอยู่ดีๆ ถึงกลายไปเป็นบ้านติดจำนองได้
เคสนี้ ทนายทัศไนย ชี้แจงว่า เป็นเพราะพอมันเกินเวลา 2 ปี ที่โอ๋ต้องหาเงินไปปิดค่าบ้านหลังนี้กับธนาคาร โอ๋อาจจะหาเงินมาปิดไม่ได้ ทำให้ต้องไปหานายทุนมาปิดให้แทน เพื่อรักษากรรมสิทธิ์ของบ้านเอาไว้ โดยที่คุณโอ (ผู้เสียหาย) เขาไม่รับรู้ด้วยอยู่แล้ว เพราะเขาซื้อบ้านจากคุณโอ๋ เขาก็รู้แค่นั้น ส่วนคุณโอ๋ก็ไปดำเนินการของเขาเองข้างหลัง คือหานายทุนมาอุ้มบ้านแทน แต่สุดท้าย โอ๋ก็ยังหาเงินมาจ่ายนายทุนคนนั้นไม่ได้อีก
ทนายทัศไนย อธิบายว่า ถ้าโอ๋เขาสามารถหานายทุนคนใหม่ มาปิดหนี้นายทุนคนแรกได้ ปัญหามันก็จะไม่ปรากฏออกมา และคุณโอก็คงไม่รู้เรื่องนี้เลย
เมื่อมาถึงตรงนี้ ทำให้เกิดคำถามอีกว่า ในเมื่อคุณโอ๋ยืนยันมาตลอดว่า ปิดยอดได้ สามารถปิดบ้านได้ถึง 25 หลัง แล้วทำไมถึงต้องเอาบ้านไปวางจำนองกับนายทุนนอกระบบอีก
ขณะที่ คุณวิโรจน์ นายทุนที่ทำธุรกิจกับคุณโอ๋มาโดยตลอด 3-4 ปี โฟนอินเข้ามาชี้แจงวิธีการทำธุรกิจของคุณโอ๋ คือ เขาจะเอาบ้านมาวางจำนองกับตน มาครั้งหนึ่ง 2-3 หลัง แล้วเขาก็จะได้เงินไปก้อนหนึ่ง รอบต่อมาเขาเอาบ้านมาจำนองเพิ่ม ก็จะเอาเงินมาปิดบ้านหลังเก่าที่เคยจำนองไว้รอบก่อน โดยวิธีการคือ ให้คนที่ซื้อบ้านต่อไป ไปยื่นกู้ธนาคาร เอาเงินมาปิดกับเรา แล้วก็เอาเงินที่ได้จากการเอาบ้านหลังใหม่มาวาง ไปตัดดอกเบี้ยบ้านหลังเก่า งูกินหางอยู่แบบนี้ มาเกิดปัญหาก็คือตอนปี 67 เขาไม่มีบ้านหลังใหม่มาวาง เขาก็เลยไม่มีทุนไปหมุน ซึ่งคุณวิโรจน์ไปทราบจากอดีตเลขาของคุณโอ๋ ว่าธุรกิจเริ่มมีปัญหา เริ่มเก็บเงินจากคนที่ซื้อบ้านไม่ได้ ส่วนที่โอ๋บอกว่า เอาเงินไปปิดยอดธนาคารได้แต่ละหลัง แต่ละหลัง มันก็คือเงินของตน ที่เขาเอาบ้านมาวาง แล้วเอาเงินสดไปปิดนั่นเอง
โอ๋ บอกว่า ปัญหาจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าคุณวิโรจน์ไม่เหลี่ยมใส่ตนก่อน เราทำสัญญาจำนองกัน แต่คุณวิโรจน์มาเหลี่ยมเพิ่ม หักค่านั่นค่านี่ ได้เงินไม่ตรงตามสัญญาจำนอง ตอนนี้เรากำลังอุทธรณ์คดีนี้กันอยู่ เพราะเรากับคุณวิโรจน์มีคดีความเรื่องผิดสัญญากันอยู่ วิโรจน์ถึงถามว่า แล้วทำไมวันที่ศาลนัดให้ไป ถึงไม่ไปพูดในศาล มาพูดอะไรตรงนี้ มันมีประโยชน์อะไร เพราะสุดท้ายศาลตัดสินแล้ว คุณโอ๋แพ้ ถ้าไปขึ้นศาลแต่แรกอาจจะเจรจากันได้ก็ได้
ทนายทัศไนย ฟังอยู่ ได้พูดกับวิโรจน์ว่า ตนได้เห็นหมายศาลคดีทั้ง 4 คดี ที่วิโรจน์ฟ้องโอ๋แล้ว และตนมั่นใจว่าโอ๋แพ้แน่ จึงแนะนำให้โอ๋ขอผ่อนชำระ เป็นลักษณะนั้นแทน แต่สุดท้ายโอ๋ไม่จ้างตนเป็นทนาย ส่วนโอ๋บอกว่า วันที่มีนัดขึ้นศาล ได้เตรียมเอกสารทั้งหมดแล้ว แต่ไม่ได้ไป เพราะติดปัญหาเรื่องทนาย สุดท้ายตอนนี้ อยู่ในระหว่างระยะเวลา รอออกหมายบังคับคดี เพื่อให้บ้านมาเป็นสิทธิ์ของคุณวิโรจน์
ทนายสายหยุดบอกว่า การไปยื่นกู้กับนายทุน มันรับเงินไม่เต็ม เสียปากถุง ค่าดำเนินการ เป็นเรื่องปกติมากๆ กู้ธนาคารก็ไม่ได้เต็มจำนวน ส่วนเรื่องคุณวิโรจน์ เขาใช้สิทธิ์การเป็นเจ้าหนี้จำนอง เปอร์เซ็นต์การที่เขาจะขอซื้อบ้านกลับจากธนาคาร โอกาสที่เขาได้มันสูงอยู่แล้ว เขาเลยบอกคนที่อยู่อาศัยว่า เก็บเงินไว้ อย่าไปจ่ายโอ๋เลย ให้เตรียมมาจ่ายเขา เพราะบ้านมันจะต้องเป็นของเขาอยู่แล้ว
สุดท้ายทนายสายหยุด เสนอทางออกว่า ให้โอ๋ยอมโอนกรรมสิทธิ์บ้านให้วิโรจน์ (โอ๋ใช้หนี้วิโรจน์) แล้วให้วิโรจน์ไปทำสัญญากับคนอยู่อาศัยแทน เพราะถ้ามันหลุดไปถึงบังคับคดี โอ๋จะไม่ได้อะไรเลย แต่โอ๋ไม่ยอม เพราะโอ๋บอกว่า ราคาที่โอ๋ขายบ้าน มันสูงกว่าราคาที่วิโรจน์ประเมินมาก เรื่องอะไรที่โอ๋จะยอมขายขาดทุน ยังไงโอ๋ก็ต้องได้ส่วนต่าง
แต่ทนายสายหยุดถามว่า แล้วการที่ปล่อยให้เรื่องไปถึงบังคับคดี โอ๋จะได้อะไร การมาดื้อจะเอาส่วนต่างอยู่คนเดียว แล้วคนที่อยู่อาศัยเขาจะทำยังไง เขาจ่ายเงินผ่อนให้โอ๋มากี่แสนแล้ว แล้ววิโรจน์ก็พยายามจะชี้ให้โอ๋เห็นว่า ราคาที่วิโรจน์ตีราคารับซื้อบ้านแต่ละหลัง มันสูงกว่าราคาขายทอดตลอดอยู่แล้ว ถ้าปล่อยให้ไปถึงบังคับคดี บ้านหลังหนึ่ง ตนรับ 1.7 ล้าน ถ้าปล่อยให้บังคับคดีขายทอดตลาด ได้ไม่ถึงล้านแน่นอน ถามหน่อยว่า ถ้าไปประมูลแข่งกันจริงๆ โอ๋สามารถยกราคาสู้ตนได้ถึง 1.7 ล้านไหม แต่พูดมาถึงตรงนี้ โอ๋ก็ยังไม่ยอม เพราะรู้สึกว่าตนได้ลงทุนไปในบ้านแต่ละหลังเยอะแล้ว
ผู้เสียหายยังถามอีกว่า เมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ ไม่รู้ว่าปลายทางบ้านมันจะกลายเป็นของใคร แบบนี้ก็ไม่มีใครอยากจะผ่อนต่อกับคุณโอ๋อีก แต่คุณโอ๋บอกว่า ใครไม่ผ่อนติดต่อกันนานเกิน 3 เดือน ถูกยกเลิกสัญญาแน่ ผู้เสียหายจึงถามต่อว่า ถ้าสุดท้ายบ้านมันไปเป็นของคุณวิโรจน์ แล้วเงินที่ตนผ่อนบ้านมาแล้ว 5 แสนกว่าบาทจะทำยังไง โอ๋บอกว่า ถ้าเป็นแบบนั้น ก็ให้ผู้เสียหายมาฟ้องตนเอา ผู้เสียหายถึงกับอึ้ง แล้วถามว่า ให้ตนผ่อนกับคุณโอ๋ไปเรื่อยๆ แล้วถ้าไม่ได้ค่อยไปฟ้องเอาทีหลัง แบบนี้มันใช่หรือ
คุณโอ๋ยังบอกว่า คุณวิโรจน์ยังแอบไปคุยกับลูกค้าของโอ๋ ว่าอย่าผ่อนกับโอ๋ ให้เก็บเงินไว้ เตรียมมาผ่อนกับเขาเอง เพราะเดี๋ยวบ้านก็จะเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาแล้ว
คุณวิโรจน์ยืนยันว่า ตนพูดจริงไหมมันเป็นคนละเรื่อง เพราะในเมื่อกรรมสิทธิ์มันยังไม่เป็นของตน ตนก็ไม่เคยไปเรียกเก็บเงินอะไรจากคนอยู่อาศัยเลย ยืนยันได้ว่า ไม่มีเรื่องการไปเรียกเก็บโดยที่ตนไม่มีสิทธิ์ และยืนยันได้เลยว่า ถ้าตอนที่คุณโอ๋เอาบ้านมาจำนอง เอาไปขายต่อคนอื่น แล้วเอาเงินมาหมุนอะไรต่างๆ เขา
ต่อมามีเคส “นิว” ลูกจ้างสาวของโอ๋ ที่เคยมาสมัครงานตำแหน่งทำบัญชี แต่ไม่เคยได้ทำบัญชี เขาให้ตนทำทุกอย่าง ชงน้ำในคาเฟ่ของเขา, ทำกับข้าว, ทำเอกสาร, ดูแลลูกค้า, โพสต์ขายบ้าน ไปจนถึงไปประมูลบ้าน ที่หนักที่สุดที่นิวโดน คือการที่คุณโอ๋ให้นิวเอาบ้าน หลังที่คุณโอ๋กำลังอยู่อาศัย ไปโพสต์ขาย โพสต์วันเดียว มีชาวต่างชาติมายื่นขอซื้อทันที พอมีคนมาขอซื้อ คุณโอ๋ถึงให้นิวไปยื่นประมูลกับธนาคาร
ปรากฏว่าพอนิวไปถึงหน้างานประมูล มีผู้แข่งประมูลไปร้องเรียนว่า นิวมายื่นประมูลได้ยังไง ในเมื่อนิวโพสต์ขายบ้านหลังนี้ไปล่วงหน้าก่อนจะประมูลอีก ทำให้ธนาคารยุติการประมูลทันที แล้วก็เป็นเรื่องเป็นราว นิวบอกว่านิวอายมาก แต่คุณโอ๋ก็ไม่ได้รับผิดชอบอะไร โอ๋แย้งว่าบ้านหลังนี้ไม่ได้ขายชาวต่างต่าง แค่ให้เช่า แล้วถ้าโอ๋ไม่มีกรรมสิทธิ์ โอ๋จะเข้าไปอยู่ได้ยังไง เรื่องนี้ต้องไปถามธนาคาร
สุดท้าย ผู้เสียหายหลายคนถามว่า การที่คุณโอ๋ ทำสัญญากับบ้านเพิ่มไม่ได้อีก ต้องเอาญาติพี่น้องหรือตัวแทน ไปทำสัญญาแทนในเคสหลังๆ มันเป็นเพราะว่าคุณโอ๋ทำพฤติกรรมแบบนี้มากๆ แล้วโดนแบล็กลิสต์หรือไม่? คุณโอ๋บอกว่า ถ้าโดนแบล็กลิสต์จริง ธนาคารต้องเป็นคนตอบ
สุดท้ายในรายการ ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ เพราะโอ๋ยืนยันว่า ทุกเคสโอ๋สามารถต่อสู้ได้ ส่วนทางผู้เสียหายก็ยังยืนยันว่าจะเอาเงินคืน
#นายหน้า #บ้าน #ผ่อนบ้าน #โหนกระแส