มาร่วมตีแผ่กระแสที่แรงที่สุดในสังคม กับรายการโหนกระแสthaich3ช่อง 3 กด 33
ติดต่อเราfacebooktiktokxyoutube
honekrsaaehonekrsaae
thaich3ช่อง 3 กด 33honekrsaae
ข่าวกำลังโหน
โหนทุกข่าว
โหนบันเทิง
โหนไปมู
โหนร้องทุกข์
วีดีโอ
search
ปิด
honekrsaae
honekrsaae
มาร่วมตีแผ่กระแสที่แรงที่สุดในสังคม กับรายการโหนกระแส
thaich3ช่อง 3 กด 33
หน้าหลัก
ข่าวกำลังโหน
โหนทุกข่าว
โหนบันเทิง
โหนไปมู
โหนร้องทุกข์
วีดีโอ
Live
ติดต่อเราfacebooktiktokxyoutube

อดีตลูกศิษย์ร้องถูกเทวสถานหลอกให้หลงเชื่อ ทำบุญไปกว่า 50 ล้าน คาใจก้อนสุดท้าย เงินขายที่ 13 ล้านให้เขาไป วันนี้อยากได้คืน “อาจารย์เจ๊” ถาม ทำบุญแล้วขอคืนได้เหรอ


ข่าวด่วน
12 มิถุนายน 25686,856
อดีตลูกศิษย์ร้องถูกเทวสถานหลอกให้หลงเชื่อ ทำบุญไปกว่า 50 ล้าน คาใจก้อนสุดท้าย เงินขายที่ 13 ล้านให้เขาไป วันนี้อยากได้คืน “อาจารย์เจ๊” ถาม ทำบุญแล้วขอคืนได้เหรอ

วันนี้ในรายการ โหนกระแส พูดคุย กรณีสาว LGBTQ ร้องเทวสถานดูดเงินกว่า 50 ล้าน โดยได้ทั้งสองฝ่ายมานั่งเล่าเหตุการณ์ในฝ่ายตัวเอง 

 

คุณไผ่ สาวหล่อ LGBTQ สายมู ออกมาเปิดเผยว่า เธอใช้ชีวิตอยู่กับสองสามีภรรยาผู้เปิดบ้านเป็นเทวสถานย่านสุขสวัสดิ์ นานเกือบ 9 ปี โดยถวายทรัพย์สินกว่า 50 ล้านบาทให้กับสถานที่ดังกล่าว ซึ่งฝ่ายร่างทรงปฏิเสธว่าไม่เคยบีบบังคับ และทั้งหมดเป็นการให้ด้วยความสมัครใจ

 

คุณไผ่ระบุว่า เธอเริ่มเข้าไปกราบไหว้ที่เทวสถานในปี 2559 หลังประสบปัญหาชีวิตรุมเร้า ทั้งการเงินติดขัดและต้องลาออกจากงานมาดูแลแม่ที่เริ่มป่วย เธอตัดสินใจประกาศขายที่ดินหลายแปลงซึ่งเป็นทรัพย์สมบัติของแม่ แต่ขายไม่ออก จึงไปพึ่งร่างทรงในเทวสถาน

 

ช่วงแรกทั้งสองร่างทรงแนะนำให้เธอสวดมนต์และทำบุญตามปกติ กระทั่งแม่ของเธออาการทรุดหนัก อาจารย์ผู้ชายจึงแนะนำให้ตั้งสัจจะวาจาขอพรจากองค์เทพ หากขายที่ดินได้ให้นำเงินมาถวาย ปรากฏว่าที่ดินขายออกจริง ได้เงินมา 4 ล้านบาท คุณไผ่จึงนำเงิน 2 แสนบาทมาถวายตามสัญญา ทำให้ศรัทธาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

 

จากนั้นคุณไผ่ขายที่ดินได้อีกถึง 10 แปลง และนำเงินครึ่งหนึ่งมาถวายทุกครั้ง รวมมูลค่ากว่า 50 ล้านบาท ซึ่งเธอต้องถอนเงินสดวางต่อหน้าองค์เทพทำพิธีทุกครั้ง ต่อมาทางร่างทรงยังแนะนำให้เธอนำเงินอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือมาฝากไว้ที่เทวสถาน โดยอ้างว่าเธอเก็บเงินไม่อยู่ ต้องมาเบิกใช้ตามความจำเป็น ซึ่งเธอก็ยินยอมและเชื่อฟังทุกอย่าง

 

เธอถึงขั้นพาแม่ย้ายเข้าไปอยู่ในเทวสถาน และกลายเป็นศิษย์เอกที่ช่วยดูแลงานบุญทุกอย่าง กระทั่งปลายปี 2567 แม่ของเธอเสียชีวิต ความสัมพันธ์กับร่างทรงเริ่มมีปัญหา โดยเฉพาะกับน้องชายและน้องสะใภ้ของอาจารย์ผู้หญิง ที่เธอบอกว่ามักพูดจาดูถูกและเข้าใจผิดว่าเธอมาอาศัยอยู่ฟรี ทั้งที่ถวายเงินไปหลายสิบล้านบาท

 

ต่อมามีเหตุทะเลาะถึงขั้นทำร้ายร่างกายกัน เธอจึงตัดสินใจเก็บของออกจากเทวสถานโดยไม่มีอะไรติดตัว นอกจากเงินก้อนสุดท้ายที่นำไปลงทุนขายของ จากนั้นจึงเริ่มทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดและมั่นใจว่าตนถูกหลอก จึงต้องการเรียกร้องเงินคืนบางส่วน โดยรวบรวมหลักฐานไว้ได้ประมาณ 19 ล้านบาท

 

ด้านนายเอก (นามสมมติ) น้องชายของร่างทรง ให้สัมภาษณ์ว่า ตนเคยมีปากเสียงกับคุณไผ่ และยอมรับว่าเคยทุบท้ายทอยจนคุณไผ่สลบ เพราะทนไม่ได้กับพฤติกรรมที่เถียงพี่สาวตนบ่อย และทำงานภายในเทวสถานบกพร่อง

 

ส่วนเงินที่คุณไผ่ถวาย เขายืนยันว่าไม่ทราบรายละเอียด แต่คิดว่าเป็นการให้ด้วยความสมัครใจ หรืออาจถือเป็นค่าคอมมิชชั่น ไม่เชื่อว่าพี่สาวจะหลอกลวง และเผยอีกว่า คุณไผ่ยังเหลือที่ดินอีกหนึ่งแปลงที่อำเภอแกลง จ.ระยอง ซึ่งหากขายได้ก็ยังต้องแบ่งเงินให้เขาและพี่สาวอีก

ประเด็นรถยนต์ที่มีคลิปบุกทวง เขายอมรับว่าไปจริง เนื่องจากรถเป็นชื่อของพวกตน ตอนที่ยังอยู่ด้วยกัน เขามีปัญหาต้องขายรถ เราก็ช่วยเอารถเขาไปขายให้ แล้วก็เอารถคันที่เป็นประเด็นนี้ มาให้เขาใช้ และให้เขาผ่อนต่อด้วยความไว้ใจ จึงไม่ได้มีการเปลี่ยนสัญญา  แต่ปรากฏว่า เขาก็ไม่จ่ายค่างวด จนไฟแนนซ์มาตามทวง

 

ด้านคุณพัด ลูกศิษย์ของเทวสถาน แฟนเก่าของคุณไผ่ ที่ตอนนี้กลับกลายเป็นคู่กรณีกันแล้ว ขอความเป็นธรรมให้เทวสถาน โดยบอกว่าสถานที่แห่งนี้ เป็นเงินส่วนตัวของอาจารย์ทั้งสอง ไม่ใช่เงินบริจาคจากใคร เวลามีคนเดือดเนื้อร้อนใจมาหา ท่านก็ช่วย ไม่เคยเอาเงินเอาทอง เขาอยากทำบุญ ก็ไปทำได้เลย แต่ไม่ต้องเอามาให้อาจารย์

ที่คุณไผ่บอกว่า บริจาค ถวายเงินมาร่วม 50 ล้าน มันไม่จริง เขาถวายทีละแสน สองแสน ก็ว่าไป แต่มีครั้งสุดท้ายที่ข่ายที่ได้ แล้วถวายครึ่งหนึ่งในเทวสถาน 13 ล้าน ก็เป็นเรื่องจริง แต่รวมๆ ไม่ถึง 50 ล้านแน่นอน

 

ที่ผ่านมาที่เขาบอกว่า เงินทองหมดไปเพราะรักษาแม่ ก็ต้องถามว่าจริงไหม ถามเขาก่อนว่า เขาเช่าคอนโดให้ผู้หญิงอยู่จริงไหม ของแบรนด์เนมอยากได้อะไรก็ซื้อ ส่วนตน ตอนที่เป็นแฟนกัน ตนดูแลแม่ให้เขาทุกอย่าง แลกกับการที่เขาใช้หนี้ให้เรา 8 แสนบาท เรามองว่าแม่ของคุณไผ่เป็นผู้มีพระคุณของเรา เราก็ดูแลมา  พอเลิกรากันทองอะไรที่เขาให้เรา ก็คืนเขาไปหมด ไม่เคยยึดเอาไว้

 

ไผ่สวนกลับว่า ไปดูได้เลยว่าคนสั่งของมาเต็มบ้านมันเป็นใครกันแน่ เพราะไผ่อยู่ที่เทวสถาน ส่วนพัดอยู่ที่บ้านกับแม่ไผ่ กลับไปมีของมาส่งเต็มบ้าน บางอย่างสั่งมาไม่ได้แกะออกจากห่อด้วยซ้ำ เครื่องสำอางสั่งมา ทิ้งเป็นลังๆ พัดเป็นคนสั่ง ใช้เงินของแม่ไผ่เอง

 

ขณะที่พัดสวนว่า ของที่พัดสั่ง มันเป็นของราคาไม่แพง ต้องบอกว่าเงินที่สุรุ่ยสุร่าย มันก็เกิดจากการที่ไผ่ซื้อแต่ของแพงๆ มาใช้ แล้วจะมาอ้างว่าเงิน 50 ล้าน มันหมดเพราะเทวสถานได้ยังไง

 

ปัญหาสำคัญคือ เงิน 13 ล้าน ที่คุณไผ่ขายที่ดินได้แล้วเอามาถวายเทวสถาน ตามที่อธิษฐานและรับปากกับ อาจารย์ผู้หญิงไว้ว่า องค์เทพจะช่วย แล้วถ้าขายได้ ก็ต้องเอาเงินมาให้เทวสถานครึ่งหนึ่ง คุณไผ่บอกว่า วันนี้เพิ่งรู้ว่า องค์เทพไม่มีจริง เป็นเจตนาหลอกลวงของทางอาจารย์และทางเทวสถาน เพราะในวันนั้น เขาทำพิธีสื่อสารกับองค์เทพ แล้วหันมาถามเราด้วยน้ำเสียงขององค์เทพ ถามเราว่า “ถ้าขายได้ เจ้าจะถวายให้เทวสถานครึ่งหนึ่งได้ไหม” ซึ่งทำให้เรารับรู้ได้ว่ามันเป็นการเข้าทรงองค์เทพ ทำให้เรารับสัจจะทันที แต่เมื่อวันนี้รู้แล้วว่าถูกหลอก จึงต้องการขอเงินคืน

 

ส่วนทางอาจารย์หญิง หรือที่หลายคนเรียกว่า อาจารย์เจ๊ โฟนอินมาแย้งบอกว่า ไม่ได้เป็นการสื่อสารกับองค์เทพ แต่เป็นการเสนอตกลงกับเขาว่า ถ้าขายได้จะเอามาให้เทวสถานสักครึ่งหนึ่งได้ไหมล่ะ เพราะเราคิดว่า ถ้าเขาขอพรจากองค์เทพ เขาก็น่าจะขายได้แน่ๆ เรามั่นใจแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้รู้ว่าเขาจะขายได้จริงไหม ขายได้เท่าไหร่ ตัวเราไม่รู้หรอก แค่คิดว่าขอพรจากองค์เทพก็น่าจะได้

 

การที่เขาเอามาถวาย 13 ล้าน มันเป็นความสมัครใจของเขาเอง โดยที่เราไม่ได้บังคับเขา เราแค่เสนอว่า เขาอธิษฐานไว้ เขาก็ต้องรักษาสัจจะ แต่ถ้าตอนนั้นเขาไม่ให้ ไม่ทำตามคำพูด เราจะไปว่าอะไรเขาได้

 

อาจารย์บอกว่า ที่ผ่านมา ไผ่น่าจะรู้อยู่แก่ใจตัวเองดีว่า ที่ผ่านมาเราอยู่กันมาแบบไหน เงิน 13 ล้าน ที่เขาอธิษฐาน เขาให้สัจจะไว้ว่าขายได้ จะมาทำบุญ แล้วเขาก็ทำตามที่เขาให้สัจจะไว้ การจะมาขอเงินคืนมันเป็นไปไม่ได้ เพราะเราได้เงินมา แล้วก็จ่ายไป จะมาขอเอาคืนมันก็คงไม่ถูกต้อง 

 

แต่ถ้าทางคุณไผ่จะไปดำเนินการทางกฎหมาย จะไปเบิกความ หรือฟ้องศาล มันก็แล้วแต่เขา ซึ่งทางฝ่ายเราเองก็ต้องไปดำเนินการ เพราะทางคุณไผ่เองก็มาทำให้อาจารย์เสื่อมเสียชื่อเสียง อาจารย์เองก็ต้องรักษาสิทธิ์ตรงนี้เหมือนกัน

 

ทางทนายแก้วชี้ให้เห็นว่า หากทางเทวสถานจะอ้างว่าเป็นการให้โดยเสน่หา แต่ทางคุณไผ่ก็มีมุมของตัวเอง ที่สามารถชี้ให้เห็นได้ว่าเป็นหารหลอกลวง หรือทำให้หลงเชื่อได้ว่าองค์เทพมีจริง องค์เทพเป็นผู้ดลบันดาลให้ขายที่ได้ จนเขายอมถวายเงิน 13 ล้าน ก็สามารถเอาผิดฉ้อโกงได้เช่นกัน

 

ทางพี่หนุ่ม กรรชัยเอง ก็ได้ชี้ให้เห็นว่าเรื่องนี้ หากเจรจา หรือพูดคุยกันเรื่องคืนเงินกันได้ ก็อาจจะเป็นทางที่ดีกว่าการฟ้องร้อง หรือไปขึ้นศาลกัน เพราะว่าถ้ายกตัวอย่างเคสที่ใกล้เคียงกันอย่าง เคสทนายตั้ม กับพี่อ้อย ที่พยายามจะสู้ว่าเป็นการให้โดยเสน่หาเหมือนกัน มันก็มีมุมที่จะเทียบเคียงได้ มองในบางมุมก็อาจจะทำให้สองฝ่ายตัดสินใจได้ง่ายขึ้น


แท็กที่เกี่ยวข้อง
#เทวสถาน#บริจาค