ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ภาพพร้อมข้อความว่า ทางบ้านอยากฟ้องร้องดำเนินคดีลูกหนี้รายหนึ่ง ซึ่งหอบเงินหนีไปเยอะพอสมควร จึงมองหาทนายมาดำเนินการในการทำเรื่องฟ้องร้องให้ จนกระทั่งมีหญิงรายหนึ่ง ทักแชตมาบอกว่า รู้ว่าลูกหนี้คนนี้อาศัยอยู่ที่ไหน จนสุดท้ายได้แนะนำหญิงรายหนึ่ง ซึ่งอ้างว่าเป็นทนายที่จะมาทำคดีนี้ให้ หลังจากนั้นมีการนัดเจอ พูดคุยรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องคดี และค่าจ้าง ตนก็จ่ายเงินไปตามที่ขอ แต่แล้วทุกอย่างเปลี่ยนไป เรื่องเริ่มเงียบ ตามเรื่องยาก ทักไปไม่ค่อยตอบ โทรไปไม่ค่อยรับ ทักไปขอหมายศาลแต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยงมาตลอด
จนสุดท้ายก็ติดต่อไม่ค่อยได้ อ้างว่าเข้าโรงพยาบาลบ้าง ปอดติดเชื้อ ไม่สะดวกคุยจนผ่านไปเป็นสัปดาห์ ตนเริ่มรู้สึกแปลกๆ จึงตัดสินใจโทรไปสอบถามทางสภาทนายความให้ขอตรวจสอบชื่อ ปรากฏว่าทางสภาทนายความได้บอกว่าชื่อนี้ไม่ได้อยู่ในระบบ อีกทั้งได้มีการเอาหมายเรียกที่หญิงรายดังกล่าวถ่ายรูปมาให้ ไปตรวจสอบที่ศาลจังหวัด ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่แจ้งกลับมาว่าชื่อโจทก์กับจำเลย ไม่ได้อยู่ในระบบการออกหมายศาล แสดงว่าหมายศาลที่ได้มาคือของปลอม
สุดท้ายตนจึงรู้ว่าทุกอย่างคือของปลอม โดนหลอกเต็มๆ จึงไปแจ้งความ ยื่นหลักฐานทุกอย่าง ตำรวจตีเป็นคดีร่วมกันฉ้อโกง และปลอมแปลงเอกสารทางราชการ แต่สามารถไกล่เกลี่ยกันได้เบื้องต้น ถึงจุดนี้แล้วตนก็เลยบอกกับพวกน้้นไปว่า ตอนนี้ทุกอย่างที่ทำรู้แล้วว่ามาหลอก ตนก็ขอไปว่า เงินที่หลอกเอาไป ให้เอามาคืนด้วย แต่หญิงทั้งคู่เริ่มปัดความรับผิดชอบ โยนความผิดให้กัน ตอนนี้ก็ได้แต่รอหมายเรียกจากตำรวจ ซึ่งรอมาแล้ว 2 เดือน ไม่ได้ไกล่เกลี่ยกันสักที ตำรวจบอกให้ตามทวง ก็ตามแล้ว แต่ก็แถไปเรื่อย เลื่อนแล้วเลื่อนอีก ตอนนี้คือไม่ไหวแล้ว เงินใช้ เงินกิน จะไม่มีแล้ว แต่พวกนั้นยังใช้ชีวิตอย่างปกติสุข ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ ซึ่งยอดทั้งหมดที่รวมหัวกันมาหลอกประมาณ 120,000 บาท
ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อสอบถามรายละเอียด ทราบว่าผู้โพสต์เป็นลูกชายของผู้เสียหาย ซึ่งเป็นหญิง อายุ 48 ปี เล่าว่า ประมาณเดือน พ.ค. 2566 คุณแม่ทำเรื่องฟ้องลูกหนี้รายหนึ่ง ซึ่งมีการยืมเงินไปแล้วหนีหายไป จนเกิดการปรึกษากับทางครอบครัวว่า จะหาทนายมาว่าความคดีนี้ให้ และหลังจากนั้นได้มีหญิงรายหนึ่ง ทราบภายหลังว่าเป็นนายหน้าขายที่ดิน ติดต่อมาทางแชตเฟซบุ๊ก และมีการแนะนำทนายความมาให้ และเรื่องก็เป็นแบบที่โพสต์
สุดท้ายรู้ความจริงว่า ทนายคนที่หญิงรายดังกล่าวแนะนำมา เป็นครูโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.ลำพูน หลังจากนั้นคุณแม่ได้ไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีกับหญิงรายดังกล่าว และครูที่แอบอ้างเป็นทนาย โดยเบื้องต้นทางตำรวจให้ลงบันทึกประจำวัน และรับมอบเอกสารหลักฐานทั้งหมดไว้เพื่อเตรียมดำเนินคดี ขณะเดียวกันพนักงานสอบสวนได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า หมายศาลฉบับดังกล่าวเป็นหมายศาลปลอม เบื้องต้นการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายข้อหาฉ้อโกง และปลอมแปลงเอกสารทางราชการ