‘ทนายเกิดผล แก้วเกิด’ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ศาลพิพากษาจำคุกครูฝึกทหารเกณฑ์ 20 ปี
จากกรณีที่ ‘พลทหารวรปรัชญ์ หรือน้องเน’ อายุ 18 ปี สมัครใจเข้ารับการเป็นทหารเกณฑ์ ถูกครูฝึก ‘ซ่อมวินัย’ เสียชีวิต หลังเกณฑ์ทหารไม่ถึง 3 เดือน แพทย์ระบุสมองบวม ซี่โครงหัก 2 ข้าง ปอดฉีก ปอดรั่ว ไหปลาร้าหัก กระดูกสันหลังหัก
ต่อมา พนักงานอัยการ ได้ยื่นฟ้องครูฝึกและผู้ช่วยครูฝึก รวมทั้งหมด 13 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและป้องกันการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ 2565 มาตรา 5
ในวันนี้ (27 พ.ค.) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 2 ได้อ่านคำพิพากษา โดยสรุปเนื้อความว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นครูฝึกทหารใหม่ของค่ายนวมินทร์ โดยมีจำเลยที่ 3 ถึง 13 เป็นทหารเกณฑ์และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยครูฝึกทหารเกณฑ์ ร่วมกันทำร้ายผู้เสียชีวิตหลายครั้ง หลายเวลา ต่างกรรมต่างวาระ อย่างทารุณโหดร้าย จนผู้เสียชีวิตได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา
พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อ เนื่องจากพยานส่วนใหญ่เป็นทหารใหม่และเป็นทหารเกณฑ์ในค่ายนวมินทร์ ที่จำเลยทั้ง 13 สังกัดอยู่ และเห็นเหตุการณ์ซึ่งถือว่าเป็นประจักษ์พยานโดยตลอด หากไม่เป็นความจริง พยานซึ่งเป็นทหารเกณฑ์และเป็นทหารใหม่ก็คงไม่กล้าใส่ความหรือใส่ร้ายป้ายสี ทั้งไม่มีสาเหตุโกรธเครื่องกับจำเลยทั้ง 13 แต่อย่างใด
นอกจากนั้น คำให้การของจำเลยทั้ง 13 ก็ยังมีพิรุธสงสัย และมีการต่อสู้โดยปฏิเสธลอยๆ ทั้งๆ ที่ในชั้นพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาจำเลยทั้ง 13 เรื่องการทำร้ายร่างกายพลทหาร ให้ได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยทั้ง 13 ให้การรับสารภาพโดยไม่ให้รายละเอียดใดๆ
แต่ต่อมา ภายหลังจากที่พลทหารเสียชีวิต เมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม เป็นข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย จำเลยทั้ง 13 ก็ให้การปฏิเสธลอยๆ โดยไม่ให้รายละเอียด
ในทางพิจารณาคดี พยานหลักฐานของโจทก์และของจำเลยก็รับฟังได้ว่า จำเลยทั้ง 13 ได้มีส่วนร่วมกันกระทำความผิดจริงตามฟ้อง เพียงแต่ต่างคนต่างทำ แต่ระยะเวลาและสถานที่ชัดเจนที่สุดว่าพลทหารเสียชีวิตในเวลาต่อมา เกิดจากการกระทำรุนแรงของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นครูฝึก ได้ใช้ไม้ทำร้ายโดยการทุบตีพลทหารจนถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา
ศาลจึงมีคำพิพากษาว่า การกระทำความผิดของจำเลยทั้ง 13 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ 2565 มาตรา 5 และมาตรา 35 วรรค 3 พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 20 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 15 ปี และจำคุกจำเลยที่ 3 ถึง 13 คนละ 10 ปี
ในส่วนของพ่อแม่พลทหารที่เสียชีวิตยังติดใจคำพิพากษา เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้รับโทษน้อยเกินกว่าที่กระทำ ควรได้รับโทษมากกว่านี้ และจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อไป ส่วนคดีแพ่ง หลังคัดคำพิพากษาได้แล้ว จะยื่นฟ้องกองทัพบกเป็นจำเลยเพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนให้กับพ่อแม่ของน้องตามกฎหมายต่อไป
ทหารกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย ไม่ได้ขึ้นศาลทหาร ต้องขึ้นศาลพลเรือน และติดคุกพลเรือน อย่าหาทำ ไม่ว่าจะในค่ายหรือในคุกก็ไม่ควรมีการตายฟรี
ทนายเกิดผล กล่าวว่า คดีนี้ถือเป็นคดีแรกในประเทศไทย หลังประกาศใช้ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ช่วงที่ฟังคำพิพากษา ได้สังเกตเห็นแม่ของผู้เสียชีวิตร้องไห้ตลอดเวลา ส่วนพ่อมีสีหน้านิ่งเฉย
ส่วนฝั่งจำเลย ทหารเกณฑ์ที่เป็นครูฝึก ผู้ช่วยครูฝึก น่าจะรู้ชะตากรรมตัวเอง ดูกังวลใจและดูมีสีหน้าเครียด ก้มหน้าตลอดเวลาขณะที่ศาลอ่านคำพิพากษา
จากชีวิตลูกชาวบ้านแท้ๆ ต้องมาติดคุกเพราะความคึกคะนอง เสียอนาคต เสียเวลาไป 10 ปี กับสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่ก็เป็นบทเรียนที่ดีอย่างหนึ่งสำหรับทหารใหม่ที่ชอบใช้กำลังทำร้ายทหารรุ่นน้อง โดยคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ความจริงมันเป็นประเพณีที่ห่วยแตกมาก มันไม่ควรจะต้องทารุณกรรมใครแล้ว
ในส่วนของครอบครัวผู้เสียชีวิต พึงพอใจในคำพิพากษาบางส่วน แต่ยังไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาในส่วนของจำเลยที่ 1 (ครูฝึก) มองว่าได้รับโทษน้อยไป เพราะสิ่งที่ครูฝึกกระทำกับลูกของเขามันทารุณโหดร้ายและรุนแรงมาก โดยครอบครัวจะยื่นอุทธรณ์เพื่อให้การลงโทษหนักกว่าเดิม
แม่ของทหารเกณฑ์ผู้เสียชีวิต กล่าวว่า มาทำให้คนในครอบครัวเราเสียชีวิต โทษจำคุก 20 ปีนั้นรู้สึกว่าน้อยไป ต้องขอบคุณกฎหมาย พ.ร.บ.อุ้มหายฯ สามารถเรียกร้องความยุติธรรมให้ผู้เสียชีวิตได้ เพราะเป็นเคสทหาร โดยปกติต้องขึ้นศาลทหาร แต่วันนี้มีกฎหมายนี้ออกมาทำให้สามารถเอาคดีออกมาศาลข้างนอกได้ แล้วเป็นศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ มองว่าค่ายทหารจะไม่เป็นแดนสนธยาอีกต่อไป สำหรับการทำร้ายร่างกาย การซ้อมทรมาน หรือการลงโทษทางวินัยที่เกินกว่าเหตุ
ที่มา : เรื่องเล่าเช้านี้