จากกรณีข่าวฉาวในแวดวงทหารอากาศ นายทหารระดับรองผู้บังคับกองพันนายหนึ่งในสังกัดกองบิน 23 จ.อุดรธานี ใช้ตำแหน่งหน้าที่บังคับให้ทหารเกณฑ์ในปกครองเดินทางไปขับรถรับจ้างในกรุงเทพฯ เพื่อหารายได้ส่งให้นายทหาร มีการกำหนดเป้าให้มีรายได้ 3,000 บาทต่อวัน โดยหักแบ่งรายได้ให้ทหารเกณฑ์ 10 % กระทั่งล่าสุดทหารเกณฑ์รายนี้ไม่สามารถทนถูกกดขี่ได้ จึงเข้าร้องเรียนกับสื่อและเพจสายไหมต้องรอดให้ช่วยเหลือ ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด เมื่อช่วงบ่ายที่่ผ่านมา (15 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวเดินทางลงพื้นที่ไปยังภูมิลำเนาของพลทหารรายดังกล่าวอีกครั้ง ซึ่งอยู่ใน อ.หนองหาน จ.อุดรธานี โดยพบกับพ่อของพลทหาร ที่ยังคงเฝ้ารอข่าวและการติดต่อกลับจากลูกชายอย่างใจจดจ่อ
สอบถามเบื้องต้นทราบว่า หลังเป็นข่าวยังไม่มีหน่วยงานใดมาหา ส่วนลูกชายก็ยังไม่สามาถติดต่อได้ ต่อมานักข่าวได้บอกกับพ่อของพลทหารว่า ตอนนี้ลูกชายปลอดภัยดี อยู่ในความดูแลของทีมช่วยเหลือ และกำลังเดินทางไปพบผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพอากาศ ที่พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศไทย เพื่อขอความช่วยเหลือ พ่อก็มีสีหน้าที่ดีใจขึ้นมาทันที แต่ยังคงกังวล เกรงว่าหากลูกชายกลับมา จ.อุดรธานี จะไม่ปลอดภัย
ขณะที่ผู้สื่อข่าวกับพ่อของพลทหารกำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ ‘คุณโป้ง พงศพัศ’ ทีมช่วยเหลือ ได้โทรศัพท์เข้ามาหาผู้สื่อข่าว บอกว่าลูกชายและรองเสนาธิการฯ อยากพูดคุยด้วย จากนั้นพ่อลูกก็ได้คุยกัน
ด้าน ‘น.อ.วุฒิกร สุวารี’ รองเสนาธิการหน่วยบัญชาการอากาศโยธิน กล่าวกับพ่อของพลทหารว่า ไม่ต้องเป็นห่วง ตนได้พูดคุยกับน้องแล้ว ตอนนี้น้องรู้สึกกังวลว่าผู้บังคับบัญชาของเขาจะยังไง เรื่องที่เกิดขึ้น ผู้บังคับบัญชากองบินเขาไม่รู้ไม่รับทราบ แต่สิ่งที่ทำมันไม่ถูกต้องอยู่แล้ว เรื่องนี้ก็จะว่ากันไปตามกฎระเบียบของทางราชการ ส่วนเรื่องที่พ่อกังวลว่าลูกชายจะไม่ปลอดภัย ตนรับประกันความปลอดภัยของลูกชายคุณพ่อ คุณพ่อจึงมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มและดีใจ
พ่อของพลทหาร กล่าวว่า ตอนนี้ส่วนตัวก็รู้สึกหดหู่ที่ลูกชายไปเป็นทหารแล้วต้องไปขับรถรับจ้าง ตอนแรกก็คิดว่าลูกชายคงไปเป็นทหารรับใช้นาย ทำงานที่ดี แต่กลับถูกกดหัวใช้ถูกกดขี่ ตนก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง ตอนนี้อยากให้ลูกชายเดินทางกลับมาบ้าน มาเล่าเรื่องราวให้ฟัง ที่สำคัญคือ รู้สึกกังวลหากลูกชายออกมาพูดความจริงแล้วจะไม่ปลอดภัย
ฝากถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูง ทั้ง ผบ.ทอ. ขอให้กำชับดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา อย่าให้ทหารปฏิบัติตนนอกแถว ทหารต้องมีระเบียบ อย่านอกลู่นอกทาง ทหารควรอยู่ระเบียบวินัย เพราะตนก็เคยเป็นทหารเกณฑ์เช่นกัน
หลังจากนั้น พ่อของพลทหาร ได้เดินทางไปเยี่ยมหลายชาย วัย 5 เดือน (ล๔กชายของพลทหาร) โดยพบกับแม่ยายของพลทหาร ซึ่งได้เปิดเผยว่า หลังลูกเขยไปทหารก็ไม่ค่อยติดต่อกลับมาเลย เท่าที่จำได้เขาเคยขับรถคันสีฟ้ามาจอดที่บ้าน ลูกเขยไม่ค่อยพูดอะไรให้ฟังมาก เท่าที่รู้ลูกเขยไปเป็นทหารก็ไม่ค่อยมีเงินใช้ และไม่เคยส่งเงินกลับมาช่วยเลี้ยงดู บางทียังโทรมาขอเงินจากเมียด้วย ครั้งละ 200-300 บาท และเขาก็เลิกกับลูกสาวของตนไปเดือนก่อน ส่วนสาเหตุเพราะมีปัญหากันเรื่องเงิน
อดีตภรรยาของพลทหาร เล่าว่า ตนกับพลทหารรู้จักกันมาได้ 1 ปี มีลูกด้วยกัน 1 คน ตอนนี้น้องอายุได้ 5 เดือน จากนั้นเขาได้สมัครไปเป็นทหาร ประจำที่กองบิน 23 จ.อุดรธานี เพราะอยากมีเงินมาช่วยเลี้ยงลูก
ตอนเป็นทหาร แต่ละเดือนเขาก็ส่งเงินมาช่วยเลี้ยงลูกบ้าง เดือนละ 3,000 หรือ 4,000 บ้าง ก่อนจะเลิกกัน เขาบอกว่าทางต้นสังกัดจะจำหน่ายเขาออกมาทำงานข้างนอก ส่วนเงินเดือนพลทหารก็จะเอาเข้าบัญชีรอง ตอนนั้นตนก็ไม่ได้ติดขัดอะไร โดยเขายังบอกว่าจะไปทำงานขับรถรับจ้าง ขับได้ประมาณ 2 เดือน ก็ย้ายไปทำงานที่กรุงเทพฯ
มีอยู่วันหนึ่ง ก่อนที่จะเลิกกัน เขาทักมาขอยืมเงิน 300 บาท อ้างว่าจะรีบตัดยอดเงินส่งนาย ตนก็โอนให้ พอทวงถามถึงเงินนั้น เขาก็โอนเงินคืนกลับมา แล้วก็บอกเลิกกัน ตอนนี้ตนก็ยังไม่รู้ว่าสาเหตุที่เขายืมเงิน 300 ไป เพราะอะไร ทำไมไม่พูดความจริง ก็เลยทำให้ทะเลาะกันและเลิกกัน
ส่วนเรื่องที่เป็นไปขับรถรับจ้างแล้วเอาเงินส่งให้นายนั้น ตนก็ไม่รู้ว่าจะต้องเอารายได้ส่งให้นายทั้งหมด เพราะหลังเลิกกันก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีโอกาสจะคืนดีกันไหม หลังจากได้รู้ข่าวว่าสามีก็ลำบาก และเจอเรื่องหนักๆ ถูกนายสั่งไปขับรถรับจ้างหาเงินให้ ทางอดีตภรรยา กล่าวว่า อยากให้เขาโทรมาหาหน่อย โอกาสคืนด้วยก็มีเพราะเพิ่งรู้ข่าวว่าเขาลำบาก สงสารเขาเหมือนกัน และไม่อยากให้โกหก มีอะไรมาพูดกัน สงสารลูกน้อยวัย 5 เดือน