เพจโหนกระแสได้รับเรื่องร้องเรียนจากหญิงคนหนึ่ง เล่าว่า ตนกับสามีได้อยู่กินกันมาตั้งแต่ปี 2559 ตั้งแต่ที่เขาเป็นทหารเกณฑ์ ส่วนตนทำงานกลางคืนเป็น PR คบกันได้สักพักหนึ่งก็ได้ตัดสินใจออกรถยนต์ด้วยกันคันหนึ่งจนเขาปลดทหารและออกมาอยู่บ้าน ซึ่งตนท้องและได้คลอดลูกในช่วงที่เขาปลดทหารพอดี เขาก็เลยไปสมัครงานเป็น รปภ. ส่วนตนเลี้ยงลูก แต่ด้วยหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นมันทำให้ค่าใช้จ่ายของเราไม่เพียงพอ ตนเลยหยุดพักได้แค่ 1 อาทิตย์ก็กลับไปทำงาน PR แม่สามีก็เลี้ยงลูกให้ส่วนตัวเขาทำงาน รปภ.
ต่อมาเขาบอกกับตนว่าโดนดูถูกอย่างนั้นอย่างนี้ ตนก็เลยตัดสินใจให้เขาออกจาก รปภ.แล้วมาเลี้ยงลูกที่บ้าน ส่วนตนก็ทำงาน PR ต่อและทำหลายอย่างเพื่อช่วยกันเก็บหอมรอมริบ ไม่ว่าจะขายของ ขายยำ ขายส้มตำ ยำขนมจีน ทำทุกอย่าง จนวันหนึ่งประสบความสำเร็จ เราได้ซื้อบ้านร่วมกัน ซื้อรถร่วมกัน หลายๆ อย่างมันโตขึ้นไวมาก จากนั้นเราก็มีทะเลาะกันแล้วก็บ่อยมากด้วยแต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราก็ไม่เคยปล่อยมือกันเลยต่อให้ทะเลาะกันหนักแค่ไหนตนก็ยังเลือกอยู่กับเขา อยู่ข้างๆเขา ไม่ว่าจะมีหรือจนก็ไม่เคยทิ้งเขา ทนอยู่ด้วยกันมาตลอด
จนวันหนึ่งเขาอยากจะทำงานเพื่อสังคม ได้มีผู้ใหญ่ใจดีเปิดโอกาสให้ เขาได้ไปทำงานในเทศบาลแห่งหนึ่ง เข้าได้ประมาณเดือนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เราเริ่มมีปากเสียงกัน และทะเลาะกันจนเขาไม่กลับบ้าน แม้เขาจะไม่กลับบ้านเลยแต่เราก็มีการคุยกันตลอด ยังใช้คำว่าสามีภรรยาอยู่ ช่วงนั้นเขาก็ยังรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกๆ อย่างในบ้านอยู่
อยู่มาสักพักหนึ่งตนจับได้ว่าเขามีคนอื่น แต่ตนไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร พอรู้ตนก็แทบล้มทั้งยืน เขามาสารภาพกับตนแล้วมาขอร้องว่าขอมีเมียเพิ่มได้ไหม ตอนแรกตนก็ตกใจ รู้สึกว่าทำไมตอนที่เราลำบากกันไม่มีใครช่วยเรา ไม่มีใครเห็นหัวเรา เรายังนั่งกินไข่ต้มใบเดียวกัน แต่ทำไมในวันที่เรามีทุกสิ่งทุกอย่างทำไมต้องดึงคนอื่นเข้ามาในครอบครัวด้วย ตนก็ยอมทน แต่ก็เป็นเรื่องเป็นราวกันมาตลอด บางทีก็เหมือนจะยอมแพ้บางทีก็เหมือนจะไม่ยอมแพ้เพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงเพราะเรามีลูกด้วยกัน 2 คน ช่วงนั้นที่ตนไม่ต่อสู้อะไรเลยก็คือสงสารลูกแล้วมันก็มีข้อต่อรองว่าถ้าฉันประจานเขาในโลกโซเชียลเขาจะไม่ส่งเงินให้พ่อแม่ตน ไม่จ่ายค่าอะไรแล้ว เราทะเลาะกันเป็นเรื่องราวที่ไม่จบไม่สิ้น
จนวันหนึ่งในข้อตกลงที่เราได้ตกลงกันหลายๆเรื่องมันมีการเปลี่ยนแปลงขึ้น เขาเริ่มเห็นแก่ตัวทุกอย่างไม่เป็นเหมือนที่ตกลงกันไว้ เรามีบริษัทด้วยกันด้วยแต่ตนไม่เคยได้รับผลกำไรจากตรงนั้นมีแค่หน้าที่เลี้ยงลูก การทะเลาะกันของเรามันบ่อยเกินจนบางครั้งเขาก็ไม่ได้ส่งเงินให้ลูก ตนในวัย 37 ปีก็ต้องหันกลับไปทำ PR เลี้ยงลูก ต้องยอมให้ลูกสาว 2 คนนอนในบ้านที่มีกันอยู่แค่ 2 คน เพราะตนไม่มีทางเลือก ทุกอย่างก็เริ่มกดดันขึ้น ค่าใช้จ่ายก็มากขึ้นทุกวัน
ตนจึงตัดสินใจคุยกับเขาให้ช่วยส่งให้เงินลูกทั้ง 2 คน โดยที่เขาก็ตกลงให้ลูกอาทิตย์ละ 2,000 บาท ถ้าคำนวณแล้วได้ตกวันละ 142 บาทต่อคน ซึ่งมันไม่พอใช้ ตนเลยไปต่อรองกับเขาว่าให้เขารับลูกไปเลี้ยงบ้างหรือให้ลูกมากกว่านี้ได้ไหม มันก็เลยกลายเป็นเรื่องขึ้น เขาไล่ตนกับลูกออกจากบ้านให้ไปอยู่ที่อื่น และเอารถที่บอกว่าจะให้ลูกคืน ซึ่งตนก็ไม่มีรายได้อะไรและต้องเลี้ยงลูกอีก 2คนเพียงลำพัง ก็ไม่รู้จะขอความช่วยเหลือจากใคร ไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใคร ทางด้านกฎหมายก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไร
ตนอยากเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้ใครก็ได้รับฟังในหัวอกคนเป็นแม่ ในหัวอกคนเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องทนกับอะไรหลายๆ อย่าง ตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตร่วมกับผู้ชายคนนี้ มันไม่ได้แค่ความอดทนแต่มันคือความรัก รักจึงทนทุกอย่าง แม้จะโดนทุบตีทำร้ายร่างกายจนแท้ง ตนไม่ขออะไรมาก แค่อยากเรียกร้องให้เขารับผิดชอบลูกและส่งเสียค่าเลี้ยงดูลูกทั้ง 2 คน