ทีมเพจโหนกระแสได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายรายหนึ่งว่าถูกทนายความคนหนึ่งนำรถมอเตอร์ไซค์ดูคาติ ลูกความไปเก็บไว้ ไม่คืนไฟแนนซ์ตามคำสั่งศาล ปล่อยเวลาล่วงเลยจนลูกความโดนยึดทรัพย์ ต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก
ผู้เสียหาย เล่าว่า ประมาณปลายปี 2565 บริษัทไฟแนนซ์ได้ตั้งตัวแทนเป็นโจทก์ฟ้องร้องทำเรื่องยึดรถมอเตอร์ไซค์ดูคาติ โดยเบื้องต้นทราบว่าต้องจ่ายค่าส่วนต่างหลักแสน ผู้เสียหายซึ่งเป็นจำเลยในคดีไม่มีกำลังที่จะจ่ายได้ จึงได้ไปปรึกษาทนายความคนดังกล่าว
ทางทนายบอกว่าจะทำให้ไม่ต้องจ่ายค่าส่วนต่าง ตนก็ถามย้ำว่าไม่ต้องจ่ายจริงๆ ใช่ไหม นอกจากค่าทนายแล้วไม่มีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกใช่ไหม เมื่อทนายยืนยันตนจึงตกลงจ้างทนายในราคา 30,000 บาท แบ่งจ่าย 2 งวด โดยจุดมุ่งหมายของตนคือตนต้องการคืนรถมอเตอร์ไซค์ดูคาติ และจบเรื่องไป
ระหว่างนั้นทนายคนดังกล่าวก็ประสานเรื่องคดี ไปไกล่เกลี่ยและไปขึ้นศาล โดยบอกกับตนว่าไม่ต้องไปเอง ตั้งตัวแทนคือทนายไปก็พอ เพราะเดี๋ยวจะไปพูดผิดพูดถูกหรือทำอะไรที่ทำให้เสียเปรียบได้ ตนจึงปล่อยเป็นหน้าที่ของทนาย
ช่วงปลายปี 2566 ศาลมีคำสั่งให้คืนรถมอเตอร์ไซค์ดูคาติ ในสภาพที่ใช้การได้ดี พร้อมตีราคาให้ในกรณีที่คืนไม่ได้ ให้จ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี ของเงินต้น จนกว่าจะชำระคืนแก่โจทก์ ให้ชำระค่าขาดประโยชน์ 3 หมื่นกว่าบาท และรายเดือนๆ ละ 1,500 บาท และค่าธรรมเนียมรวมอีกประมาณ 1.5 หมื่นบาท
เมื่อตนได้รับแจ้งมาเช่นนี้ก็ตกใจ ไม่คิดว่าจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมาอีกขนาดนี้ ได้พูดคุยกับทนายเขาก็แนะนำให้ตนคืนรถมอเตอร์ไซค์ดูคาติ ผ่านทนาย อย่าไปคืนเอง เผื่อกรณีที่มีเอกสารอะไรต้องเซ็น ส่วนเงินทดแทนต่างๆ ที่ตนต้องจ่ายให้ไฟแนนซ์ ตนถามกับทนายว่าผ่อนจ่ายได้หรือไม่ ตอนแรกทนายบอกว่าไม่ได้ แต่ตนก็ย้ำไปว่าตนไม่มีเงินก้อนจริงๆ แต่มีเจตนาที่จะจ่าย ทนายจึงบอกว่าน่าจะได้ แต่บอกให้ตนยังไม่ต้องทำอะไร เขาจะจัดการให้เอง ให้เอารถมอเตอร์ไซค์ดูคาติมาก็พอ
หลังจากนั้นตนยอมรับว่าค่อนข้างกังวล จึงได้ทำการโอนเงินไปให้ทางไฟแนนซ์ก่อน 2,000 บาท เพื่อแสดงเจตนาว่าตนตั้งใจจะจ่ายจริงๆ แต่ปรากฏทางไฟแนนซ์แจ้งว่าเงินจำนวนนี้ต้องถูกหัก vat 7% ตนก็ไม่ค่อยเข้าใจและไม่รู้มาก่อน พอทนายรู้ตนก็โดนต่อว่าอีกว่าทำไมไปจ่ายเอง
ระหว่างนั้นตนพยายามถามว่าต้องนำเงินไปจ่ายเมื่อไหร่อย่างไร แต่ทนายก็บอกให้รอบ้าง เดี๋ยวจัดการให้บ้าง กระทั่งเดือน ก.พ. 2567 ตนนำรถมอเตอร์ไซค์ดูคาติไปไว้ที่สำนักงานทนาย เพื่อให้ทนายนำไปคืนไฟแนนซ์ แต่หลังจากนั้นตนกลับได้รับทราบว่า ตนกำลังจะถูกยึดบ้านที่ใช้พักอาศัย เพราะไม่ยอมคืนรถมอเตอร์ไซค์ดูคาติและชำระหนี้ไฟแนนซ์
ตนรีบติดต่อไปหาทางทนายคนดังกล่าว ได้คุยจึงได้ทราบว่ารถมอเตอร์ไซค์ดูคาติไปอยู่ที่บ้านของทนายที่ต่างจังหวัด ซึ่งตนก็งงว่าเอาไปทำอะไร แล้วทำไมไม่คืน แต่ตนก็พยายามพูดคุยอย่างใจเย็น ไม่โวยวายหรือกดดันเพราะตนกลัวจะไม่ได้รถมอเตอร์ไซค์ดูคาติ กลับมา
ตนไม่แน่ใจว่าทนายนำรถมอเตอร์ไซค์ดูคาติของตนไปใช้หรือไม่ แต่ทางทนายเคยถามว่า ทำไมเครื่องถึงร้อนมากผิดปกติ ตนก็บอกไปว่าเป็นปกติ ก่อนที่ทนายจะแจ้งมาอีกครั้งว่าจะนำรถมอเตอร์ไซค์ดูคาติคืนให้ แต่ตอนนี้รถสตาร์ตไม่ติด แล้วทนายก็นำกลับมาไว้ที่สำนักงานฯ ตนต้องเรียกรถสไลด์นำรถไปเต็นท์รถที่ 1 ให้ประเมินราคาขาย เพราะต้องการนำเงินไปให้ไฟแนนซ์ แต่เกิดปัญหานิดหน่อยจึงไปเต็นท์ที่ 2 เสียค่าดำเนินการไป 4,500 บาท
ระหว่างนั้นปัญหาประเดประดัง ตนจึงปล่อยเรื่องทนายไปก่อน มุ่งแก้ปัญหาเรื่องไฟแนนซ์เพราะกลัวบ้านโดนยึด โดยตนเพิ่งหาเงินไปเคลียร์กับไฟแนนซ์เสร็จสิ้นเมื่อเดือน ก.ย. ที่่ผ่านมา สรุปแล้วตนต้องเสียทั้งค่าจ้างทนาย ค่าธรรมเนียมศาล เงินทดแทนแก่ไฟแนนซ์ซึ่งตนต้องจ่ายดอกเบี้ยเป็นเวลาถึง 1 ปี รวมถึงค่าธรรมเนียมบังคับคดี
ที่ตนมาร้องเรียน เพราะไว้ใจทีมทนาย เห็นว่าเราว่าจ้างเขาแล้ว ไม่เช่นนั้นจะจ้างทนายไปทำไม แต่ก็กลับมาเกิดเรื่องแบบนี้
ตอนนี้ต้องการทวงถามความรับผิดชอบจากทนายคนดัง ที่ตนต้องมาเสียเงินมากมายทั้งที่ไม่ควรเสีย เช่น ดอกเบี้ย 1 ปี ค่าซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ดูคาติ ค่าเรียกรถสไลด์ 3 รอบ ค่าเสียเวลาต่างๆ อีกทั้งตนกลัวว่าจะมีคนเจอปัญหาแบบเดียวกัน เพราะหลังศาลพิพากษา ทนายยังได้นำรูปรถมอเตอร์ไซค์ดูคาติของตนไปโพสต์ประมาณว่ารับทำคดีไฟแนนซ์โดยไม่เสียส่วนต่าง
โดยตนอยากให้สภาทนายความหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยตรวจสอบมารยาทและลงโทษทนายคนดังกล่าว