รายการโหนกระแสวันนี้ ยังคงพูดคุยกันอีกครั้งกรณีของ “เชื่อมจิต” หลังหลากหลายภาคส่วนออกมาเคลื่อนไหว ดำเนินคดี แจ้งความเอาผิด โดยที่เป็นประเด็นมากที่สุด ก็คือ “สำนักพุทธ” ที่ส่งคณะทำงานไปแจ้งความเอาผิดกลุ่มเชื่อมจิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช และ ดร.ประยุทธ์ ประเทศเสนา จากมูลนิธิกองทัพธรรม เผยถึงกรณีที่ สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ส่งนิติกร รวบรวมหลักฐานต่างๆ ไปแจ้งความเอาผิดกลุ่มลัทธิเชื่อมจิต ฐานบิดเบือน นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยเป็นไปตามคำสั่งของ มหาเถรสมาคม ออกระเบียบคำสั่งให้ทางสำนักพุทธไปดำเนินการเอาผิดกลุ่มเชื่อมจิต โดยไปแจ้งไว้ที่ บก.ปอท. ที่เดียวกับที่กองทัพธรรมแจ้งไว้
ขณะที่ อี้ แทนคุณ ไปแจ้งความเพิ่ม เอาผิดทนายความ และ ทางกลุ่ม ที่มีการเปิดบัญชีเรียกรับเงินเรี่ยไรต่างๆ นานา โดยวันนี้ก็ได้นำหลักฐานส่วนนี้มาแจ้งความกับ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ(บก.ปอศ.) โดยมีหลักฐานชัดเจนที่น่าเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งไม่สามารถอ้างได้ว่ามีการปลอมขึ้น เนื่องจากยังมีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา และในคอมเมนต์ใต้โพสต์เรี่ยไรเงิน ยังมีการระบุสลิปโอนเงินจากผู้บริจาค เป็นเงินจำนวน 0.99 บาท บ้าง 2 บาทบ้าง และสูงถึง 500 บาท
ถึงบางยอดจะไม่ได้เยอะมาก แต่ก็ผิด พ.ร.บ.เรี่ยไร และยังมีหลักฐานการเสียภาษีของบริษัท สำนักงานกฎหมายและทนายความ ของทนาย โดยตั้งแต่เป็นทนายมายังไม่มีการเสียภาษีเลย จึงนำหลักฐานส่วนนี้มาให้ทาง ปอศ.ตรวจสอบ
ขณะที่ ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง เผยว่า ตอนนี้ตนถูกกลุ่มเชื่อมจิตแจ้งความไว้ 14 คดี และรอขึ้นศาลอีก 2 คดี ซึ่งทางทนายอนันต์ชัย อี้แทนคุณ อ.รักคำราม ก็โดนคดีกันถ้วนหน้า
ขณะที่ ดร.อธิเทพ ผาทา อาจารย์ประจำหลักสูตรพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาพระไตรปิฎกศึกษา คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เผยว่า ตนพินิจพิจารณาจากการไลฟ์ของเด็ก 8 ขวบ เวลาที่มีคนถามว่าน้องได้พลังพิเศษเหล่านี้มาจากไหน เด็กจะบอกว่าได้มาจากเบื้องบน มีเรื่ององค์เทพ เชื่อมกับดวงจิตอะไรต่างๆ นานา มีลักษณะบุคลิกท่าทางการพูด ทำเหมือนเป็นคนละคน มีการพูดว่าองค์เทพออกจากร่างเราแล้ว ลักษณะทั้งหลายเหล่านี้ เหมือนทำตัวเป็นร่างทรง ตนพิจารณาแล้วเห็นว่าพฤติการณ์เป็นเหมือนร่างทรง ก็พูดไปเช่นนั้น ปรากฏว่าถูกทางครอบครัวเชื่อมจิตไปแจ้งความ ว่าเรากล่าวหาเขาเป็นร่างทรง
ขณะที่ ดร.ประยุทธ์ ประเทศเสนา มองว่า การที่ทุกฝ่ายทุกภาคส่วน ทั้งสำนักพุทธ พม. เครือข่ายประชาชน ออกมาร่วมกันดำเนินคดีกับกลุ่มเชื่อมจิต ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะหากมองในภาพรวมจะรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เอากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนามากางดูอย่างละเอียด เพื่อปกป้องหลักธรรมคำสอนพระพุทธศาสนา ถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่เกิดปรากฏการณ์แบบนี้ขึ้น
ขณะที่ นายบุญเชิด กิตติธรางกูร ประธานคณะทำงานตรวจสอบกลั่นกรองข้อมูลข่าวสาร และการกระทำที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบกรณีการแจ้งความเอาผิดกลุ่มเชื่อมจิต โฟนอินเข้ามาเผยว่า ไปแจ้งความเอาผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กับกลุ่มดังกล่าว เป็นไปตามมติของมหาเถรสมาคม ด้วยหลักฐานต่างๆที่รวบรวมมาชี้ให้เห็นว่าเป็นความผิดที่นำเข้าข้อมูลอันบิดเบือนเป็นเท็จ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
ส่วนที่ทางกลุ่มเชื่อมจิตออกมาโพสต์ว่า ทางสำนักพุทธมีหนังสือตอบกลับไปหาเขาแล้ว ก็เข้าใจได้ว่าเขาเจตนาจะให้สำนักพุทธตอบกลับอะไรที่ไปผูกมัด ผูกพัน กับการดำเนินคดี แต่ต้องบอกว่าเราตอบกลับแบบเนียนกริบ สิ่งที่เราทำหนังสือตอบกลับไป ถึงเราไม่ตอบ เขาก็หาเอาเองในกูเกิลได้อยู่แล้ว
การที่เขาออกมาโพสต์มาอะไรแบบนี้ ส่วนตัวมองว่าทางกลุ่มเขายังไม่มีความเป็นผู้ใหญ่มากพอ เพราะหากใช้วิจารณญาณพิจารณาแล้ว ก็คงไม่ออกมาโพสต์ด้วยถ้อยคำอะไรแบบนี้ เขารู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าสำนักพุทธต้องการจำดำเนินการอะไรกับเขา แต่แสร้งทำทีเป็นว่าไม่รู้
ขณะที่ นายสรรพสิทธิ์ คุมประพันธ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและด้านคุ้มครองเด็ก หนึ่งในผู้ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองเด็กปี 2546 โฟนอินเข้ามากล่าวถึงเรื่องที่ทางครอบครัวไปแจ้งความเอาผิดกลุ่มบุคคล และสื่อต่างๆ อาศัยกฎหมายคุ้มครองเด็ก ต้องบอกว่า มันไม่ได้เข้าองค์ประกอบความผิดเลย ในเมื่อการใช้ความรุนแรงต่อเด็กนั้น มันเป็นการคุ้มครองจากคนในครอบครัว ไม่ใช่บุคคลอื่น และการที่สื่อมวลชน และบุคคลต่างๆ ดำเนินการทางคดีกับทางกลุ่มเชื่อมจิต ก็เป็นเพื่อให้ทางกลุ่มหยุดยั้งพฤติกรรม อันจะก่อให้เกิดความเสียหายกับเด็ก ไม่ได้เป็นการมุ่งร้ายต่อเด็กเลย
นอกจากนี้ยังมีการเข้าสายพิธีกรรายการดัง 2 ท่าน อย่างคุณภาคภูมิ รายการเปิดปากกับภาคภูมิ และ อ.ยิ่งศักดิ์ รายการคนดังนั่งเคลียร์ ซึ่งเป็นรายการที่ถูกทางกลุ่มเชื่อมจิตแจ้งความเช่นเดียวกัน ซึ่งทั้งสองคนต่างก็พูดในมุมเดียวกันว่า การนำเสนอเรื่องราว ตั้งคำถาม ในฐานะของการเป็นสื่อมวลชน เป็นสิ่งที่ย่อมทำได้ และที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นการนำเสนอเรื่องราวแต่เพียงด้านเดียว นั่นก็เพราะทางกลุ่มเชื่อมจิตปฏิเสธที่จะมาร่วมชี้แจงในรายการ หากในการตั้งคำถามต่อสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เป็นความผิดของสื่อ ต่อไปนี้สื่อคงไม่มีสิทธิ์ทำหน้าที่อะไรอีกแล้ว