'พลทหารม่อน' เปิดใจนาทีถูกระเบิดที่คูเลต บาดเจ็บสะเก็ดระเบิดเจาะหน้า-ตา ชี้ทหารกัมพูชารบแบบไร้รูปแบบ ยิงมั่วไม่สนใจชาวบ้าน ไร้มนุษยธรรม
วันที่ 10 สิงหาคม 2568 ผู้สื่อข่าวได้ไปยังบ้านของพลทหารพิตรพิบูลหรือม่อน อายุ 18 ปี ที่บ้านผาทั่ง ตำบลห้วยแห้ง อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับบาดเจ็บบริเวณใบหน้า สะเก็ดระเบิดฝังที่ใบหน้าและตา บริเวณพื้นที่ภูมะเขือ จังหวัดศรีสะเกษ เคราะห์ดีที่ไม่โดนจุดสำคัญ ซึ่งเมื่อได้กลับบ้านมา ก็ได้กราบเท้าและสวมกอดตาและยายทั้งน้ำตา ด้วยความดีใจ
ซึ่งในตอนนี้ที่บ้านนั้นกำลังปรับปรุงบ้าน โดยก่อนหน้านี้ทางพระครูปลัดสุวัฒนรัตนคุณ เจ้าอาวาสวัดจันทาราม จังหวัดอุทัยธานีและพระชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัด และ อบต.ห้วยแห้ง รวมถึงผู้ที่ใจบุญ ต่างมาร่วมกันปรับปรุงบ้านที่ทรุดโทรมให้
โดยเปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่า พ่อและแม่นั้นได้แยกทางกันอยู่ โดยฝ่ายพ่อนั้นได้แยกทางไป และแม่นั้นทำงานเป็น รปภ.อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลพอรู้ว่าลูกมาพักฟื้นที่บ้านก็มาหาและมาอยู่ด้วยและเพิ่งกลับไปทำงาน ซึ่งแม่นั้นได้โทรศัพท์ติดต่อพลทหารม่อนมาตลอดด้วยความห่วงใย
พลทหารได้เปิดใจเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ในวันเกิดเหตุ เขาได้รับคำสั่งให้เข้าประจำการในคูเลตพร้อมเพื่อนทหาร 2 นาย ระหว่างนั้นมีปัญหาเรื่องการใช้วิทยุสื่อสาร ผู้บังคับหมู่สั่งให้ปิดวิทยุเพราะเกรงว่าทหารกัมพูชาจะดักสัญญาณ แต่ต่อมามีการเปิดใช้อีกครั้ง ซึ่งเชื่อว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ถูกยิงด้วยปืน คอ.82 ลงมายังคูเลต
เสียงระเบิดดังสนั่นจนหูอื้อ ผมถูกสะเก็ดเข้าที่ใบหน้า จมูก และตาขวา จากนั้นก็ถูกนำส่งโรงพยาบาล พลทหารม่อนกล่าวว่า ทหารกัมพูชายิงแบบไม่สนเป้าหมายและไม่คำนึงถึงชาวบ้าน ถือเป็นการรบที่ไร้มนุษยธรรม
แม้จะผ่านประสบการณ์เฉียดตาย แต่พลทหารม่อนยืนยันว่า หากมีคำสั่งก็พร้อมกลับไปปฏิบัติหน้าที่อีกครั้ง เพื่อปกป้องประเทศชาติ ขณะที่ตาและยายก็ไม่ห้าม ขอเพียงให้ระมัดระวังตัว
ส่วนทางยายอายุ 58 ปี ได้เปิดใจว่า ภูมิใจมากที่หลานมีโอกาสรับใช้ชาติ และขอขอบคุณผู้ใจบุญที่หลั่งไหลกันมามอบทั้งของและปัจจัยและมาปรับปรุงบ้านให้ และหากมีสงครามเกิดขึ้นอีกก็ยินดีที่หลานจะไปรบอีกครั้ง และรักหลานคนนี้มากเพราะเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก และอยากจะบอกว่าขอให้หลานรับใช้ชาติต่อไป