รายการโหนกระแสวันนี้ พูดคุยถึงประเด็นร้อนในวงการศาสนา กรณีพิพาทระหว่าง แพรรี่ ไพรวัลย์ และ อาจารย์เบียร์ คนตื่นธรรม กับ พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์ แห่งวัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร โดยในรายการได้เชิญ แพรรี่ ไพรวัลย์ และ อาจารย์เบียร์ มาร่วมพูดคุย ส่วนทางพระมหาอุเทนไม่สะดวกมาร่วมรายการ แต่ได้ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวไว้
ทางพระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์ ได้เปิดเผยกับทีมข่าวถึงจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งว่า เริ่มต้นขึ้นระหว่างตนกับอาจารย์เบียร์ก่อน ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 โดยระบุว่าขณะนั้น ตนได้เทศนาวิพากษ์วิจารณ์การสอนธรรมของอาจารย์เบียร์ว่ามีเนื้อหาผิดเพี้ยนไปจากพระไตรปิฎก รวมถึงการใช้วาจาไม่สุภาพในการสอนธรรม มีการขึ้นมึงกู ซึ่งลักษณะเช่นนี้จะส่งผลให้ชาติหน้าเกิดมามีผิวพรรณและรูปลักษณ์ไม่ดี หลังจากนั้นตนก็ถูกกลุ่มผู้ติดตามของอาจารย์เบียร์เข้ามาต่อว่าอย่างหนัก ซึ่งมีแพรรี่ ไพรวัลย์ ร่วมอยู่ด้วย แต่ตนเลือกที่จะไม่ตอบโต้และเงียบมาเกือบปี
จนกระทั่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ตนเห็นข่าวผ่านทางโซเชียลว่าอาจารย์เบียร์เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ซึ่งปกติแล้วตนจะเทศนาธรรมและถ่ายคลิปลงโซเชียลมีเดียเป็นประจำอยู่แล้ว จึงได้เทศนาโดยยกกรณีอาการป่วยปวดศีรษะโดยไม่ทราบสาเหตุของอาจารย์เบียร์ขึ้นมาเป็นตัวอย่างว่า เป็นผลมาจากกรรมที่ชอบใช้คำพูดดุดัน หยาบคาย เกรี้ยวกราด และด่าทอพระสงฆ์ด้วยจิตที่มีโทสะและโมหะ ทำให้กรรมนั้นส่งผลต่อสุขภาพโดยไม่รู้ตัว ตนยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาหมิ่นประมาท เป็นเพียงการยกตัวอย่างเพื่อสอนธรรมแก่ญาติโยม
คำเทศน์ดังกล่าวทำให้แพรรี่ ไพรวัลย์ ออกมาตอบโต้ จนกลายเป็นการปะทะคารมกันรอบใหม่ ตนมองว่าแพรรี่ต้องการเกาะกระแสและสร้างประเด็นขัดแย้ง พร้อมทั้งชี้แจงว่าการเทศน์ของตนนั้นยึดหลักตามพระไตรปิฎก เช่น กรณีที่กล่าวถึงเพศสภาพของพระอานนท์ ที่เคยประพฤติผิดในกาม ส่งผลให้ชาติหนึ่งต้องเกิดเป็นบัณเฑาะก์ หรือคนที่มีร่างกายเป็นชายแต่จิตใจเป็นหญิง มีลักษณะตุ้งติ้ง ตนจึงยกมาเปรียบเทียบกับพฤติกรรมของแพรรี่ ส่วนกรณีภาพ AI ของแพรรี่ ตนทราบอยู่แล้วว่าเป็นภาพ AI แต่ปกติก็เห็นแพรรี่แต่งกายใส่วิกคล้ายผู้หญิง และภาพดังกล่าวก็มีลักษณะคล้ายผู้หญิงมาก ตนจึงพูดแซวไปขำๆ ว่าให้ไปตัดอวัยวะเพศชายออก จะได้แสดงความชัดเจนว่าเป็นหญิงทั้งกายและใจ
สำหรับประเด็นที่ถูกมองว่าการเทศนาเข้าข่ายหมิ่นประมาทหรือไม่ พระมหาอุเทนยืนยันว่าคำพูดอย่าง อัปรีย์ จัญไร เป็นเพียงคำสามัญที่ไม่ได้ระบุถึงใครโดยตรง จึงไม่น่าจะเข้าข่ายฟ้องร้องได้ และตนไม่มีเจตนาให้ร้ายใคร แต่ก็ยอมรับว่าการเทศนาในลักษณะนี้ส่งผลลบต่อตนเองและพระพุทธศาสนา ซึ่งทางเจ้าคณะจังหวัดได้ทำหนังสือตักเตือนมาแล้ว แม้ท่านอาจจะยังไม่ทราบเรื่องราวทั้งหมด แต่ตนก็เห็นถึงผลเสียและรับปากว่าจะไม่ทำอีก ส่วนกรณีที่สังคมมองว่าตนก็มีลักษณะตุ้งติ้งเช่นกันนั้น พระมหาอุเทนยืนยันว่าตนเป็นผู้ชายทั้งกายและใจ ไม่เคยมีรสนิยมเช่นนั้น พร้อมฝากให้สังคมใช้วิจารณญาณในการเสพข่าว
ทางด้านแพรรี่ ไพรวัลย์ ได้ตอบโต้ว่า การที่พระมหาอุเทนนำเรื่องอาการเจ็บป่วยของอาจารย์เบียร์มาเทศนาว่าเป็นเรื่องของเวรกรรมนั้น เป็นการเทศนาที่ไม่สร้างสรรค์และไม่มีเมตตาธรรม การพูดในลักษณะนี้เป็นการซ้ำเติมคนป่วย การเป็นพระควรจะมีพรหมวิหาร 4 ไม่ใช่เห็นคนอื่นเจ็บป่วยแล้วไปบอกว่าเป็นกรรมของเขา แพรรี่มองว่าการกระทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมกับสมณสารูป ส่วนที่อ้างว่าตนไปร่วมวงต่อว่าตั้งแต่แรกนั้นไม่เป็นความจริง ตนเพิ่งจะออกมาพูดหลังจากที่เห็นคลิปเทศนาที่พาดพิงถึงอาจารย์เบียร์ในครั้งล่าสุดนี้
แพรรี่ยังได้กล่าวถึงประเด็นการเหยียดเพศว่า การที่พระมหาอุเทนนำเรื่องเพศสภาพของตนมาพูดในเชิงเหยียดหยาม ล้อเลียน และใช้คำพูดรุนแรง เช่นแนะนำให้ไปตัดอวัยวะเพศนั้น เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง การเป็นพระไม่ควรจะลดตัวลงมาใช้วาจาในลักษณะนี้กับฆราวาส และการเทศนาธรรมควรจะเป็นไปเพื่อจรรโลงจิตใจ ไม่ใช่เพื่อความสะใจหรือเพื่อโจมตีผู้อื่น การกระทำดังกล่าวถือเป็นการบูลลี่และสร้างความเกลียดชังในสังคม ซึ่งตนมองว่าการกระทำของพระมหาอุเทนเข้าข่ายการหมิ่นประมาทและกำลังพิจารณาเรื่องการดำเนินการทางกฎหมาย
ขณะที่อาจารย์เบียร์ คนตื่นธรรม ได้ชี้แจงถึงการสอนธรรมของตนว่า การใช้คำพูดที่อาจจะฟังดูรุนแรงบ้าง เป็นเพียงรูปแบบและลีลาในการสอนเพื่อให้เข้าถึงคนบางกลุ่ม แต่แก่นแท้ของคำสอนยังคงอยู่บนพื้นฐานของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ได้บิดเบือนไปจากพระไตรปิฎกตามที่ถูกกล่าวหา ส่วนเรื่องอาการป่วยของตนนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว การที่ถูกนำไปเทศนาในเชิงซ้ำเติมว่าเป็นเรื่องของเวรกรรมนั้น ทำให้ตนรู้สึกเสียใจและมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมของพระสงฆ์
อ.เบียร์บอกอีกว่า ทุกครั้งที่พระอุเทน พูดถึงตนเองทีไร จะต้องร้องไห้ทุกครั้ง พูดกี่ทีก็ร้องตลอด แล้วก็พูดแต่ว่า ท่านปกป้องพระศาสนาอยู่คนเดียวเลย ปกป้องพระศาสนาจากการที่ อ.เบียร์ และ แพรรี่ ที่คอยทำลายพระศาสนา ที่ร้องไห้ก็เพราะปลาบปลื้มปิติยินดี แต่คนที่เห็นก็จะรู้ว่า มันเป็นความปิติ หรือเป็นการร้องไห้เพราะทุกข์ใจกันแน่
ขณะที่พระอุเทน ซึ่งดูรายการสดอยู่ที่วัด แต่ไม่ขอเข้าสาย และไม่ขอมาร่วมรายการ ให้เหตุผลว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ ฝากนักข่าวมาบอกว่า ที่ร้องไห้ 3 รอบ ไม่เกี่ยวกับ อ.เบียร์เลย ที่ร้องไห้ ร้องด้วยความปิติ ตอนที่ไปสักการะพระเขี้ยวแก้วสนามหลวง 1 รอบ ที่พระเชตวันมหาวิหารอินเดีย 1 รอบ เป็นน้ำตาแห่งความปิติ
และที่สำคัญ ฝากไปบอก อ.เบียร์ และ แฟนคลับ อ.เบียร์ด้วยว่า เวลาที่มีทัวร์มาลงนั้น พระอุเทน ไม่เคยสะดุ้งสะเทือนเลยสักนิด
นอกเหนือจากข้อพิพาทที่มีกับ อ.เบียร์ และ แพรรี่แล้ว พระอุเทน ยังพาดพิงไปถึง อ.จตุรงค์ จงอาษา นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนาอีกด้วย โดย ระบุกลอนว่า
จะฝากมาด่าอย่างไรฝากไปเถิด เราไม่เปิดฟังอยู่แล้วย่อมแคล้วคลาด
ปากพวกเอ็งโสโครกมากไม่สะอาด ไม่ฉลาดสำรากสำรอกกลิ่นออกมา
หมูถูกน้ำร้อนเดือดดิ้นให้สิ้นฤทธิ์ อย่ามีจิตสงบไปในภายหน้า
เราไม่เคยให้ค่าให้ราคา กะเทยเฒ่าเขลาปัญญาจาตุรงค์เลย
ก่อนหน้านั้นด่าเรานี้อีปากเบี้ยว มะม่วงเปรี้ยวเน่ามาวาจาเผย
เฒ่าปากร้ายด่าสบายได้ตามเคย อย่าหยุดเอ่ยวจีกรรมที่ต่ำทราม
เล่นจุกปากอีกคนเห็นผลแน่ กะเทยแก่ตวัดลิ้นมาหมิ่นหยาม
หางจุกตูดวิ่งหนีไกลติดไปตาม จนถึงความดับดิ้นสิ้นชีวิตเทอญ ฯ
ขณะที่ อ.จตุรงค์เอง ก็ออกมาตอบโต้ทันควัน ด้วยกลอนเช่นกัน จนทำให้นักเรียนโหนกระแสแห่คอมเมนต์ว่า นี่มันวันสุนทรภู่หรืออย่างไร ทำไมถึงมีการดวลกลอนกันขนาดนี้
โดยกลอนของ อ.จตุรงค์ มีอยู่ว่า
พระอุมาร พาลพา ไปหาผิด พระดัดจริต พาลพา ไปหาศาล
พระส้นตีx แกว่งกวัด สัxว์สันดาน พระจัณฑาล พาลพา วัดล่มจม
สุภาพบุรุษ หยุดข่ม กะเทยเด็ก สุภาพมะเหงก แสดงธรรม นำขื่นขม
สภาพปาก สภาพคอ น่าระทม สภาพชม แมนจริงๆ หน้าขิงงอ
ใส่จีวร หอนแดx ไม่ทำกิจ ใส่สบง ทรงวิปริต แต๋วแตกหอ
ใส่เสื้อยอง ลองสึกมา คิงหัวค. ใส่สะดอ รอทำกิน เยี่ยงญาติโยม
ชายแท้อะไร ไส้เน่า เด้าแต่กล้อง ชายแท้จ้อง ย่องด่าคน ยลดูโฉม
ชายสาวแตก แหกปาก ดาxเสื่อมโทรม ชายด่าโยม อ้างว่าเทศน์ เปรxจริงๆ
ขณะที่ อ.จตุรงค์ โฟนอินเข้ามาในรายการ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะบอกว่า กลอนของพระอุเทนนั้น ไม่ถูกฉันทลักษณ์เลย เอาแรงเข้าว่า คำก็เกิด สัมผัสก็ไม่ตรง อดไม่ได้ที่จะบอกว่า ปธ.9 แล้วแต่งกลอนได้แค่นี้เหรอ เช่นเดียวกับนักเรียนโหนกระแส ที่บอกว่า กลอนของพระมหาอุเทน คือ “กลอนเกือบสัมผัส”
อ.จตุรงค์ ยังฝากอีกว่า การจะติเตียนใคร มันควรจะต้องเป็น สุภาพบุรุษ คือมีทั้งสองคำ คือ “สุภาพ” และ “บุรุษ” แต่ดูแล้วอีกฝ่ายไม่มีสักคำหนึ่ง อยากบอกว่าใครที่มีหลักฐานว่าพระอุเทน ด่าทอ พาดพิง ใช้รูปของตน ช่วยส่งมาให้ด้วย เพราะจะดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด
ส่วนทาง พระมหาอุเทน ที่อยู่ที่สัดชนะสงคราม โดยมี อาร์ม นฤชา กมุทโยธิน นักข่าวของช่อง 3 อยู่กับท่าน พระมหาอุเทนไม่ขอเข้ามาตอบโต้ แต่จะสื่อสารผ่านอาร์ม ให้เป็นเหมือนร่างอวตารของพระมหาอุเทน ช่วยพูดแทน ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังในรายการนั้น ฟังแล้วขำ ไม่ได้เสียดสี เสียดแทงอาตมาได้เลย
สาเหตุที่ต้องออกมาแต่งกลอนด่า จตุรงค์ นั้นเพราะ เขาเข้ามายุ่งย่ามกับอาตมาก่อน อาตมานั้นไม่เคยสนใจ หรือมีจตุรงค์ อยู่ในความคิดเลย แต่ถามว่า ไปเขียนกลอนด่าคนแบบนี้ มันไม่เหมาะไม่ควร พระมหาอุเทนมองว่า มันก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ใครจะฟ้อง ก็ไม่ได้กังวลใจอะไร
ส่วนที่ อ.เบียร์ บอกว่า จะเข้ามากราบขอขมา อยากให้มองว่า สิ่ง อ.เบียร์ พูดจา หรือกระทำกับพระมหาอุเทนนั้น มันหนักหนากว่าการจะเข้ามากราบขอขมาได้เฉยๆ มันจำเป็นจะต้องไปทำทัณฑกรรม ไถ่โทษเสียก่อน ถึงจะเข้ามากราบขอขมาได้
โดยการสื่อสารทั้งหมดเหล่านี้ ต้องสื่อสารผ่าน อาร์ม นฤชา เท่านั้น พระพูดอย่างไร อาร์มต้องพูดซ้ำ เพื่อให้คนในรายการฟัง
ในช่วงท้ายรายการ ทางแพรรี่ ไพรวัลย์ ได้ฝากถึงพระมหาอุเทนว่า ควรจะไปปฏิบัติกรรมฐานอย่างจริงจังและทุบกล้องที่รายล้อมทิ้งไปเสีย เพราะตราบใดที่ยังสนใจอยู่กับกล้อง ก็จะไม่มีทางเข้าถึงนิพพานได้ และการไม่มีกล้องจะทำให้จิตใจสงบลง ไม่ต้องมาต่อล้อต่อเถียงกับใคร แพรรี่มองว่าคำพูดที่พระมหาอุเทนใช้นั้นคือคำด่า และการที่บอกว่าตนเองจิตใจสงบนั้นเป็นการโกหกตัวเอง เพราะทุกครั้งที่ออกมาตอบโต้ก็เต็มไปด้วยความเดือดดาลและยึดถือในมานะทิฐิว่าตนเป็นผู้สูงส่งที่ใครก็แตะต้องตักเตือนไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่วิถีของครูบาอาจารย์
ด้านอาจารย์เบียร์ คนตื่นธรรม กล่าวเสริมในเชิงประนีประนอมว่า พระภิกษุเป็นอาชีพของผู้ขอ ไม่ควรทะเลาะกับคฤหัสถ์ผู้เป็นคนใส่บาตร และในฐานะที่ตนเป็นคฤหัสถ์ที่ช่วยทำนุบำรุงศาสนา ก็อยากให้ท่านรับผิดชอบต่อหมู่คณะสงฆ์ด้วย พร้อมกันนี้ อาจารย์เบียร์ได้กล่าวขอขมาหากได้ทำสิ่งใดล่วงเกินไป และหากพระมหาอุเทนมีเมตตาเปิดโอกาส ก็พร้อมจะเข้าไปกราบขอขมาด้วยความนับถือ เพื่อทำความเข้าใจต่อกัน และจะกลับมาประกาศให้ทุกคนได้ทราบว่าท่านเป็นพระที่น่ากราบไหว้
ขณะที่พระมหาอุเทนได้กล่าวตอบกลับมาว่า สิ่งที่อาจารย์เบียร์พูดนั้นน่ารับฟัง และตนก็ขอรับฟังไว้ จากนี้ขอให้ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเองไป พร้อมยืนยันว่าสิ่งที่ผ่านมาไม่ใช่การด่า แต่เป็นการชี้แจงแสดงธรรมไปตามเหตุ และแม้จะเห็นโทษของการพูดในทางที่ไม่สร้างสรรค์อยู่บ้าง แต่ตนไม่ใช่พระที่จะมานั่งจ้องโทรศัพท์เพื่อด่าใคร เพราะมีเหตุให้ต้องชี้แจงตามธรรมเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อผู้ใด