เมื่อเวลา 11.30 น. (15 ก.พ.) พล.ต.ท. อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วย พ.ต.อ.รัฐศรัณย์ เกตุสิงห์สร้อย ผกก.สภ.คลองขลุง แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่ติดตามคดีฆาตกรรมอำพราง 3 พ่อแม่ลูก ซึ่งเบื้องต้น พนักงานสอบสวนได้เเจ้งข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, ร่วมกันลอบฝังซ่อนเร้นย้ายหรือทำลายศพ, ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต
ต่อมา เวลา 13.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัว ‘นายโน้ต’ และ ‘นายยศ’ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยขณะที่คุมตัวออกจากห้องประชุมเพื่อขึ้นรถตู้ตำรวจ ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามทั้งคู่ว่าอยากจะขอโทษผู้เสียชีวิตไหม แล้วทำไมถึงกล้าลงมือกับเด็ก 7 ขวบ ทำไมเมื่อวานถึงยังปากแข็งว่าไม่ใช่ผู้ต้องหา แล้วทำไมถึงไปตามผู้สื่อข่าวภูมิภาค 2 วัน แต่ทั้งคู่ไม่ตอบอะไร ก่อนจะถูกนำตัวขึ้นรถตู้ไป
ส่วนบรรยากาศที่โรงพัก เต็มไปด้วยญาติของผู้เสียชีวิตและชาวบ้านนับร้อยที่เดินทางมาสังเกตการณ์ ต่างก็ตะโกนถามว่าทำไมถึงทำเด็กได้ลงคอ และด่าทอใส่ผู้ก่อเหตุ
เมื่อเดินทางไปยังจุดที่ 1 คือบริเวณบ้านร้างจุดพบศพ ปรากฏว่ามีครอบครัวผู้เสียชีวิตรวมถึงชาวบ้านนับร้อย พากันมารุมตะโกนสาปแช่งผู้ต้องหา โดยเฉพาะ ‘นายบอล’ ที่เป็นน้องชายของหญิงผู้เสียชีวิต และยังเป็นเพื่อนกับ นายโน้ต ผู้ก่อเหตุด้วย นายบอลพยายามที่จะเข้าไปหานายโน้ต แต่เจ้าหน้าที่กันไว้ทัน เพราะกลัวจะมีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้น
โดยระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวนายโน้ตลงจากรถตู้ เพื่อเดินไปยังบริเวณจุดพบศพ ผู้สื่อข่าวก็พยามสอบถามถึงสาเหตุอีกครั้ง ถามว่าที่อ้างว่าปืนลั่นใส่เด็กนั่นจริงหรือไม่ รวมถึงถามว่าอยากขอโทษผู้เสียชีวิตหรือเปล่า แต่เจ้าตัวก็ยังคงเงียบ
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้รถกระบะของตำรวจแทนรถของผู้เสียชีวิต นำไปจอดตรงจุดพบรถ แล้วให้นายโน้ตจำลองเหตุการณ์ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าจุดนี้ทั้ง 3 คน ได้เสียชีวิตหมดแล้ว จึงทำการปลดสร้อยของหญิงผู้เสียชีวิตที่จุดนี้ ก่อนจะเดินออกจากจุดนี้ไปฝั่งซ้ายประมาณ 800 เมตร เพื่อให้ญาติมารับกลับบ้าน รวมถึงเป็นจุดที่นำผ้ามาคลุมรถไว้ในวันที่ 17 ม.ค. เพื่ออำพรางด้วย
ระหว่างนั้น ผู้สื่อข่าวพยามสอบถามความรู้สึกกับเจ้าตัวตรงจุดนี้ ทั้งถามว่าอยากจะขอโทษไหม เจ้าตัวก็ได้แต่ยืนนิ่ง และมองกลุ่มผู้สื่อข่าว แต่ไม่ได้ตอบคำถามใดๆ ท่ามกลางเสียงด่าทอของชาวบ้านและครอบครัวผู้เสียชีวิต กระทั่งเจ้าหน้าที่คุมตัวนายโน้ตกลับขึ้นรถตู้ ทีมข่าวพยามถามแล้วถามอีก แต่เจ้าตัวก็ไม่ตอบอะไร
ก่อนที่จะตำรวจจะคุมตัวนายโน้ตออกจากบ้านร้าง บริเวณริมถนนปากทางเข้าเต็มไปด้วยกองทัพชาวบ้านและญาติของผู้เสียชีวิตที่มายืนตะโกนด่า และพยายามจะกรูเข้าไปดูหน้า ตำรวจก็ได้กันไว้ จนกลายเป็นเหตุชุลมุนขึ้น
ต่อมาจุดที่ 2 ที่มีการทำแผน คือ บริเวณจุดพบคราบเลือดกลางทุ่งนา ซึ่งเป็นจุดที่นายโน้ตก่อเหตุยิงชายผู้เสียชีวิต ตามพฤติการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแถลง แต่เนื่องจากมีครอบครัวและชาวบ้านมารอจำนวนมาก พร้อมกับมีการตะโกนด่าผู้ก่อเหตุเป็นระยะๆ ประกอบกับบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่โล่ง เจ้าหน้าที่เกรงว่าจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จึงยกเลิกการทำแผนในจุดนี้
ส่วนนายยศเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้พาลงรถไปทำแผนในจุดนี้ แม้ว่าเจ้าตัวจะมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงก็ตาม เนื่องจากนายยศเปลี่ยนใจ ไม่ประสงค์ที่จะทำแผน เพราะกลัวจะถูกรุมประชาทันฑ์
จุดที่ 2 นี้ มีเพียงแค่ พ.ต.อ.เอนก จันทร์ศร รอง ผบก.ภ.จว.กำแพงเพชร เล่าพฤติการณ์ให้กับผู้สื่อข่าวฟังโดยสังเขป โดยบอกว่าปืนที่ใช้ก่อเหตุเป็นบีบีกันดัดแปลง ซิก ซาวเออร์ .380 โดยนายโน้ตซื้อมาจากอินเทอร์เน็ตในราคา 7,000 บาท และได้นำไปจำนำกับชายผู้เสียชีวิตในราคา 7,500 บาท
และจุดนี้ เป็นจุดที่หญิงผู้เสียชีวิตได้มีการยื้อแย่งปืนจากนายโน้ตรอบแรก แล้วเขวี้ยงลงคลองเล็กๆ ใกล้กับจุดที่พบคราบเลือด แต่นายโน้ตลงไปหยิบกลับคืนมา และบังคับให้ทางผู้หญิงกับลูกขึ้นรถไปนั่งที่เบาะข้างคนขับ โดยใช้ปืนจี้
เรื่องของการขายทองก็มีหลักฐานเป็นสลิปที่ทางร้านโอนเงินให้กับนายโน้ต ซึ่งเป็นทองน้ำหนัก 3 บาท ขายได้เงิน 123,500 บาท โดยทางร้านโอนให้ 120,000 บาท และอีก 3,500 บาทให้เป็นเงินสด
ส่วนจุดอื่นๆ อาทิ จุดยิงผู้หญิงและลูก เจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำแผน เนื่องจากเกรงว่าครอบครัวผู้เสียชีวิตและชาวบ้านจะตามมารุมประชาทัณฑ์
นายบอล น้องของหญิงผู้เสียชีวิต และเคยเป็นเพื่อนของนายโน้ต ซึ่งเดินทางมาดูการทำแผนฯ ในครั้งนี้ด้วย ได้พูดประณามการกระทำของผู้ก่อเหตุ พร้อมยืนยันว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ก่อนจะพูดว่า “ทำอะไรไว้ขอให้ได้อย่างนั้น”