“ม่อน” ลูกศิษย์ใกล้ชิด อ.เชียง ปัณณวิชญ์ โฟนอินซัด ความดีอาจารย์มีมากมายทำไมไม่มีใครพูดบ้าง ยอมรับ สิ่งที่ทำผิดพลาดเพราะ “รู้เท่าไม่ถึงการณ์”

วันนี้ (9 กันยายน 2568) รายการโหนกระแสได้เชิญอดีตลูกศิษย์หลายคนของอาจารย์เชียง มานั่งพูดคุยเปิดใจถึงกระแสข่าวร้อนแรงที่กำลังเกิดขึ้น หลังจากมีการตั้งข้อสงสัยต่อบุคคลที่ถูกเรียกว่า “ผู้วิเศษคนที่ 3” ที่จะถูกแฉพฤติกรรมไม่ชอบมาพากล ซึ่งมีชื่อเสียงในวงการบันเทิงและสังคมไฮโซ มีลูกศิษย์เป็นดาราและเศรษฐีจำนวนมาก ประเด็นที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงครอบคลุมตั้งแต่การเปิดรับเงินบริจาคในชื่อตัวเอง การโอนเงินให้วัดไม่ครบยอดที่ประชาชนร่วมทำบุญ 

กรณีดรามาภาพ “อ.เชียง ปัณณวิชญ์” สัมผัสโอบกอดและจูบ “พระอุเชนทร์” ศิลปวัตถุเก่าแก่ อายุราว 1,600 ปี คู่บารมีของพ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ พระเกจิชื่อดังแห่งนครศรีธรรมราช ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่วัดสวนขัน และได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมศิลปากรให้เป็นศิลปวัตถุสำคัญ

ข้อมูลจากวัดระบุว่า เหตุการณ์ในภาพเกิดขึ้นราวปี 2566 มีการขออนุญาตอัญเชิญองค์พระออกจากวัดเพื่อประกอบพิธี ก่อนนำกลับมาคืน โดยมีการทำเรื่องขออนุญาตจากสำนักศิลปากรที่ 12 อย่างถูกต้อง ขณะที่เจ้าหน้าที่กรมศิลปากรชี้ว่า การเคลื่อนย้ายศิลปวัตถุต้องดำเนินการอย่างรัดกุม และหากจะสัมผัสต้องสวมถุงมือเท่านั้น การนำปากจูบองค์พระถือว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่งเพราะน้ำลายอาจสร้างความเสียหายต่อพื้นผิวได้

ภายใต้พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 การทำให้ศิลปวัตถุที่ขึ้นทะเบียนแล้ว “เสื่อมค่า” ถือเป็นความผิดตามมาตรา 33 มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งครอบคลุมถึงการกระทำในลักษณะสัมผัส กอด จูบ หรือทำให้เกิดความเสียหายต่อคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปะของศิลปวัตถุ

ขณะที่ ม่อน ลูกศิษย์ของอาจารย์เชียง โฟนอินชี้แจงแทนอาจารย์ โดยบอกว่า ตอนนี้มีกระแสด้านลบ ลูกศิษย์ได้ปกป้องไม่ให้อาจารย์รับทราบสิ่งที่ไม่ดี เพราะเรามั่นใจในสิ่งที่ทำ เราเห็นมาทุกอย่าง ถ้าอาจารย์ไม่ดีจริง ตนคงไม่อยู่กับอาจารย์มานานขนาดนี้

เวลาไปทำบุญอะไรต่างๆ เดี๋ยวจะมีการให้อาจารย์ออกมาแจกแจงเรื่องเงินให้ชัดเจน แต่สิ่งที่ตนเห็นทุกครั้ง เวลาที่เราไปทำบุญ พาลูกศิษย์ไปทำบุญที่ไหน อาจารย์ไม่เคยมาเรียกรับเงิน ไม่เคยมารับซอง ใครอยากทำอะไรกับวัด อยากช่วยน้ำไฟ อยากช่วยเรื่องโบสถ์ หรืออะไร ก็สามารถยกมือไปทำเองได้เลย โดยที่ไม่ต้องมาผ่านอาจารย์เป็นตัวกลาง

ส่วนเรื่องพระอุเชนทร์ ก่อนที่อาจารย์เชียงจะไปทำบุญที่วัดสวนขัน ไม่เห็นจะมีใครมาสนใจ หรือมาพัฒนาบูชาพระอุเชนทร์เลย แต่พออาจารย์เชียงเข้าไปทำ คนก็หันมาสนใจกันมากมาย ถามว่าเราไปกอด ไปจูบ ไปหอมทำไม ก็เหมือนเรารัก เราศรัทธาเหมือนเรากอดพ่อแม่ เราเชื่อเรื่องพลังงาน เรากอดพระอุเชนทร์แล้วเราได้พลังงานที่ดีกลับมา ไม่รู้หรอกว่าคนอื่นมองภาพอาจารย์จูบพระอุเชนทร์ แล้วจะมองแบบไหน แต่เหตุการณ์วันนั้น คืออาจารย์กระซิบคำว่าเศรษฐี แล้วทำท่าโอบกอด ทำท่าเหมือนจะจุ๊บ โดยไม่ได้เอาปากไปแนบ  สิ่งที่วันนี้เกิดดรามาขึ้น อาจจะเพราะเรารู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่คำถามคือ ทำไมที่เราไปทำบุญ เราไปสร้างสรรค์ให้สิ่งต่างๆ มันเกิดขึ้น ไปพัฒนา ไม่เห็นมีใครมาพูดถึงเลย

ขอยืนยันว่า อาจารย์เชียงไม่ได้มีอภิสิทธิ์เหนือใคร แต่สิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่ปรากฏ มันเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ เกิดขึ้นด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ 

สิ่งที่ม่อนอยากจะพูดในวันนี้คือ คนที่ออกมาพูดถึงอาจารย์ในทางที่ไม่ดีในวันนี้ อยากจะถามว่า มีใครเสียประโยชน์ในด้านไหนหรือไม่ ถึงรู้สึกโกรธแค้น บางอย่างที่ตนจะพอพูดได้คือ ถ้าวันหนึ่งเราเห็นว่า สวะมันอยู่มานาน แล้วเราลุกขึ้นมากวาดสวะออกไป คิดว่าสวะจะรู้สึกโกรธไหม

สุดท้ายม่อน ยังทิ้งท้ายอีกว่า เหรียญมีสองด้าน ด้านหนึ่งอาจารย์ทำบุญช่วยเหลือโรงพยาบาล ช่วยคนมามากมาย แล้วทำไมไม่มีคนออกมาพูดบ้าง เอาแต่ด้านที่เราผิดพลาดออกมาพูด ซึ่งในเรื่องนี้ ทางผู้ร่วมรายการก็บอกว่า เราจะมองในแง่นั้นก็อาจจะไม่ได้ เพราะเคสดังๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ก็มีคำพูดประมาณนี้เหมือนกัน