โหนกระแส วันนี้ (18 ก.ย. 2568) เดินหน้าเจาะลึกประเด็นดรามา “ฮุบบริษัทเครื่องสำอาง” ที่ถูกโยงชื่อของนางเอกสาว ออม สุชาร์ เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยในวันนี้เป็นคิวของ พริม ณัฐชา และ ศสา อดีตผู้จัดการของ ออม สุชาร์ ที่ตัดสินใจออกมาเปิดใจและเล่ารายละเอียดในมุมของตนเอง ขณะที่ออม สุชาร์ ก่อนหน้านี้เพียงให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน และโพสต์ข้อความชี้แจงในโซเชียล แต่ยังไม่ได้มาเปิดใจในรายการ
ย้อนกลับไป กระแสเรื่องนี้เริ่มขึ้น เมื่อมีข้อมูลว่ามีดาราคนดังถูกพาดพิงว่าฮุบบริษัท โดยบอกเพียงว่า “ถ้าทุกคนได้ยินชื่อจะต้องรู้จักแน่นอน” จนทำให้ชื่อของ ออม สุชาร์ ถูกโยงทันที ออมได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวบันเทิง แจ็คเกอรีน ไทยรัฐ ยืนยันว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนเข้าใจ” และขอให้สังคมอย่าด่วนตัดสิน เพราะความจริงไม่ใช่เช่นนั้น พร้อมย้ำว่าตนเอง “ไม่เคยโกงใคร ไม่เคยเอาเปรียบใคร” พร้อมขอต่อสู้ด้วยกระบวนการทางกฎหมาย
ฝั่งผู้จัดการส่วนตัวของออม ก็ออกมาโพสต์ไอจีสตอรี่สนับสนุน โดยระบุว่าเรื่องการโกงหรือฮุบบริษัทเป็นสิ่งที่ไกลตัวออมมาก ยกเหตุผลว่าออมทุ่มเทให้กับธุรกิจ ลงแรง ลงเวลา และทำหน้าที่โปรโมตสินค้าด้วยตนเองมาตลอด พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า หากย้อนเวลากลับไปได้ก็จะไม่ให้เกิดการร่วมทุนในวันนั้น
สำหรับรายละเอียดที่พริมและศสาเล่าในวันนี้ เริ่มจากการก่อตั้งธุรกิจเครื่องสำอางแบรนด์ Fleen Beauty โดยพริมเป็นผู้มีผลิตภัณฑ์อยู่ก่อน ต่อมาได้รู้จักกับศสา และศสาได้ชักชวนออม สุชาร์ มาร่วมก่อตั้งธุรกิจด้วยกัน โครงสร้างการถือหุ้นจึงแบ่งเป็น พริม 48% ออม 48% และศสา 4% รวมเป็น 100%
พริมเล่าว่าการทำงานในช่วงแรกดำเนินไปด้วยดี แต่ภายหลังเริ่มมีความไม่ลงรอยกับออม และมีการพูดคุยถึงการแยกทาง กระทั่งออมตัดสินใจซื้อหุ้น 4% ของศสา จนทำให้ตนเองกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 52% ขณะที่พริมเหลือ 48% และเสียเปรียบทันที พริมตั้งคำถามว่าทำไมศสาซึ่งเป็นคนชักชวนให้มาทำธุรกิจร่วมกัน กลับขายหุ้นให้ออมได้อย่างไร ทั้งที่บอกกับตนเองว่าบริษัทกำลังขาดทุน ทั้งที่จริงๆ มีกำไรเกิน 50 ล้านบาท
หลังจากนั้น พริมอ้างว่าออมได้ดึงคนในครอบครัวเข้ามาเป็นผู้บริหารบริษัท และตั้งเงินเดือน ค่าพรีเซ็นเตอร์ให้ตนเอง ทำให้พริมรู้สึกถูกกันออกจากการทำงานร่วม และต้องใช้เส้นทางกฎหมายเพื่อทวงสิทธิ์ ขณะที่ศสาในวันนี้ก็มาเล่าในมุมของตนเองว่าทำไมจึงขายหุ้น 4% ให้ออม และยืนยันว่ามีการพูดคุยตกลงกันจริง
ขณะเดียวกัน ออมเองก็มีหลักฐานอีกด้าน โดยบอกว่าการซื้อหุ้นจากศสาเป็นไปอย่างถูกต้อง มีการถ่ายวิดีโอบันทึกไว้ รวมถึงอ้างว่าพริมเองก็มีพฤติกรรมที่ไม่เป็นธรรมต่อบริษัท เช่น การนำผลิตภัณฑ์จากโรงงานเดียวกันมาขายในชื่อใหม่ แข่งขันกับ Fleen โดยตรง
ประเด็นที่ถูกตั้งคำถามใหญ่ที่สุดในวันนี้ จึงอยู่ที่ “หุ้น 4% ของศสา” ว่าถูกโอนให้ออมอย่างถูกต้องหรือไม่ และเป็นการทำธุรกรรมที่โปร่งใสหรือไม่
ศสา เล่าว่า ในวันที่มีการขายหุ้นครั้งนั้น ออมได้บอกศสาว่า พริมและสามี บริหารแบรนด์ไม่โปร่งใส ใช้เงินบริษัทไม่ถูกต้อง และหากปล่อยต่อไปเรื่อยๆ แบรนด์จะพังแน่นอน ทั้งยังบอกศสาว่า บริษัทกำลังขาดทุน หากไม่ขาย หุ้นก็จะไม่มีค่า ซึ่งศสาได้ตอบกลับว่าคงไม่เป็นปัญหา เพราะออมเป็นนักแสดง มีชื่อเสียง และสามารถช่วยกู้สถานการณ์ได้ สุดท้ายศสาตัดสินใจขายหุ้นให้ออม และมีการถ่ายคลิปวิดีโอไว้เป็นหลักฐานยืนยันการซื้อขาย
ศสา อ้างว่า การตัดสินใจขายหุ้นในวันนั้น เป็นความจงใจของออมที่จะปกปิดข้อเท็จจริงบางส่วน ทพให้ตนเข้าใจข้อเท็จจริงผิดไป จะเรียกว่าถูกหลอกก็ได้ ทั้งยังบังคับให้ตนเซ็นสัญญาปกปิดความลับ ไม่ให้ไปเปิดเผยกับใครทั้งนั้นว่า ขายหุ้น 4% ให้ออม หากผิดสัญญาจะถูกปรับ 5 แสน ทำให้ศสาบอกใครไม่ได้เลย และบอกพริมก็ไม่ได้
การซื้อหุ้นดังกล่าวทำให้สัดส่วนเปลี่ยนไปทันที ออมถือหุ้น 52% ขณะที่พริมเหลือ 48% กลายเป็นผู้ถือหุ้นรอง พริมไม่รู้เรื่องนี้เลย จนกระทั่ง ออม สั่งประชุม เพื่อจะปลดพริมออกจากการเป็นกรรมการ โดยที่พริมก็ไม่รู้เลยว่า เขาจะปลดตนได้ยังไง ในเมื่อถือหุ้นเท่ากัน จนมารู้จากปากออมเองว่า เขาซื้อหุ้น 4% ของศสาไปแล้ว
ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่พริมอย่างมาก เพราะมองว่าตนเป็นผู้ริเริ่มโครงการตั้งแต่ต้น แต่กลับถูกลดบทบาทลงในบริษัท อีกทั้งต่อมาออมยังดึงคนในครอบครัวเข้ามาบริหารแทน พร้อมกำหนดเงินเดือนและค่าพรีเซนเตอร์ให้ตัวเอง
อีกประเด็นที่กลายเป็นข้อขัดแย้งสำคัญ คือ ฝั่งออมอ้างว่า พริมได้ทำธุรกิจเครื่องสำอางอีกแบรนด์หนึ่งในชื่อ RAD Cosmetic ซึ่งใช้โรงงานเดียวกัน และทำตลาดในลักษณะใกล้เคียงกับ Fleen Beauty ออมจึงมองว่านี่เป็นการทำธุรกิจแข่งกันเอง และถือเป็น Conflict of Interests เพราะพริมรู้ข้อมูลเชิงลึกของ Fleen Beauty อยู่แล้ว แต่กลับไปสร้างคู่แข่งขึ้นมา
เรื่องนี้พริมบอกว่าผิดจากข้อเท็จจริง เพราะเราทำ RAD มาก่อน ทำจนประสบความสำเร็จ จนออมอยากมาให้เราสร้างแบรนด์ให้ เขาเห็นความสำเร็จของ RAD จึงมาขอให้สร้าง Fleen ดังนั้นจะมาอ้างว่าเราทำ RAD แข่ง มันเป็นไปไม่ได้เลย
แล้วหลังจากที่เกิดเรื่อง เขาก็ตัดขาดตนไม่ให้เข้าบัญชี Social Media ใดๆของบริษัทได้อีกเลย เตะออกจากกลุ่ม LINE และยังเอาบัญชีของแบรนด์ มาบล็อกตนด้วย เขามาอ้างว่าตนถือหุ้นอยู่เท่าเดิม แต่กลับตัดขาดสิทธิ์ทุกอย่าง ทำอะไรไม่ได้เลย ไม่ได้เงินปันผล ไม่ได้เงินเดือน มันผิดไหม
สุดท้ายวันนี้ ธงในใจของพริม อยากให้ทุกคนที่ก่อตั้งบริษัทด้วยกันมา มานั่งคุยกันแบบไม่ต้องผ่านคนกลาง ในเมื่อออมเสนอว่า จะซื้อหุ้นเรา 10 ล้าน หรือไม่ก็ให้เราซื้อหุ้นของเขาไปทั้งหมด 30 กว่าล้าน สิ่งเหล่านี้เราตอบไม่ได้เลย เพราะเราถูกตัดสิทธิ์ต่างๆไป เราไม่รู้เลยว่ามูลค่าของบริษัทมันเป็นยังไง