รายการจบ ดรามาไม่จบ เชฟเนื้อชื่อดัง vs อดีตภรรยา ไม่รู้เรื่องไหนเป็นเรื่องไหน แต่สุดท้ายขอให้คิดถึงลูกได้ไหม
กรณีดรามาเชฟเนื้อ vs อดีตภรรยา เป็นเรื่องราวระหว่าง “คุณโบว์” และ “คุณมาร์ค” สองสามีภรรยาที่ร่วมกันทำธุรกิจร้านเนื้อวัวเกรดพรีเมียม และเป็นที่รู้จักจากการไลฟ์สดขายเนื้อออนไลน์ กลายเป็นประเด็นร้อนบนโลกโซเชียล เมื่อฝ่ายหญิงออกมาเปิดเผยชีวิตคู่ที่พังทลาย พร้อมระบุว่าถูกสามีไล่ออกจากบ้านขณะตั้งครรภ์ 4 เดือน พร้อมลูกอีก 2 คน และถูกฟ้องร้องฐานยักยอกทรัพย์ โดยทั้งสองฝ่ายได้มาเผชิญหน้ากันในรายการโหนกระแสวันนี้ เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงของแต่ละคน
จุดเริ่มต้น มาจากเพจ “ท่านเปา” ที่ออกมาเล่าเรื่องราวของเชฟชื่อดังสายเนื้อ ที่มีผู้ติดตามร่วมครึ่งล้าน ที่สร้างธุรกิจร้านเนื้อกับภรรยาคู่ชีวิต จนดูเหมือนชีวิตจะไปได้สวยทั้งในด้านงานและครอบครัว แต่สุดท้ายทุกอย่างกลับพังลงเพราะความสัมพันธ์สั่นคลอนจากปัญหาภายใน
คุณโบว์ ภรรยา ได้ออกมาเปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นของปัญหามาจากครอบครัวของสามีที่เข้ามาแทรกแซงธุรกิจร้านเนื้อ โดยเฉพาะ คุณฟรัง น้องสาวของคุณมาร์ค(สามี) ที่คุณมาร์คชวนเข้ามาเรียนรู้เรื่องเนื้อวัว ก่อนจะนำไปเปิดร้านในลักษณะเดียวกัน เหมือนเป็นการมาเปิดแข่ง ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้เธอเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังจับได้ว่าสามีมีผู้หญิงคนอื่น มีหลักฐานจากกล้องวงจรปิดคอนโดของหญิงอื่น หนักถึงขนาดทำให้โบว์ติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วย
ปัญหาระหว่างทั้งคู่ทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อมีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นเวลาทะเลาะกัน และตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา คุณโบว์ระบุว่าเธอต้องเผชิญกับความรุนแรงในครอบครัวหลายครั้ง ทั้งจากพ่อของมาร์ค พี่ชายของมาร์ค จนกระทั่งเหตุการณ์ถึงจุดแตกหัก มีคลิปวงจรปิดเห็นว่า โบว์ไปที่บ้านของครอบครัว สามีไล่เธอออกจากบ้านที่ซื้อร่วมกัน ขณะที่เธอกำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สาม 4 เดือน พร้อมกับลูกอีก 2 คน วัย 4 ขวบ และ 5 ขวบ เธอจึงตัดสินใจพาลูกๆ หนีไปอยู่พัทยา จังหวัดชลบุรี
นอกจากนี้ คุณโบว์ยังกล่าวว่า ตลอดเวลาที่สร้างธุรกิจร้านเนื้อด้วยกัน เธอเป็นคนลงทุนจากการไลฟ์สดขายเสื้อผ้ามือสอง แม้สามีจะดูถูกว่าเป็นขยะ แต่รายได้ส่วนนี้ก็ถูกนำมาลงทุนเปิดร้านเนื้อ จนประสบความสำเร็จ แต่สุดท้ายเธอกลับต้องถูกตัดออกจากกิจการทั้งหมด พร้อมทั้งระบุว่า เมื่อเธอตัดสินใจหนีออกจากบ้าน ได้ให้ลูกน้องนำของใช้บางส่วนจากการขายเสื้อผ้ามือสองไปเก็บไว้ที่บ้าน เพื่อเตือนให้สามีระลึกว่าธุรกิจร้านเนื้อที่มีทุกวันนี้ ก็มีจุดเริ่มต้นจากน้ำพักน้ำแรงของเธอ
ด้านคุณมาร์ค ฝ่ายสามี ออกมาโพสต์ชี้แจงหลายครั้ง โดยระบุว่าปัญหาสะสมในชีวิตคู่มีมานานหลายปี จุดเริ่มต้นมาจากพฤติกรรมของภรรยา โดยเฉพาะกรณีที่มีการด่าทอบุพการี และเหตุการณ์เมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา ที่ภรรยาบุกเข้าบ้านไปทำร้ายพ่อของเขา รวมถึงเคยบุกเข้าห้องนอนตอนเขาหลับ เพื่อทำร้ายร่างกายเช่นกัน
สำหรับปัญหาทางธุรกิจ คุณมาร์คระบุว่าจับได้ว่าภรรยาแอบถอนเงินจากบริษัทออกไป และมีการเปลี่ยนโครงสร้างหุ้นจากเดิมที่เขาถือ 70% พ่อถือ 1% และภรรยา 29% กลายเป็นเขาถือ 20% ภรรยา 80% ซึ่งเขาไม่เคยยินยอมหรือรับรู้มาก่อน
กรณีคลิปเหตุการณ์ที่ลูกน้องภรรยานำของไปเก็บไว้ที่บ้าน คุณมาร์คอธิบายว่าขณะนั้นทั้งคู่แยกกันอยู่แล้ว และเขาไม่ต้องการปะทะจึงล็อกประตูบ้าน แต่ลูกน้องภรรยายังคงโยนของเข้ามาในบริเวณบ้าน เขาจึงโยนของกลับออกไป เพราะเป็นห่วงทรัพย์สินของตัวเอง
คุณมาร์คยังเผยว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มต้นจากการเป็นเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย ก่อนพัฒนาความสัมพันธ์เป็นคู่รัก ร่วมกันไลฟ์สดขายเสื้อผ้าและสูทผู้ชาย จนมีรายได้ดีพอเปิดบริษัทและร้านเนื้อวัวพรีเมียม โดยยืนยันว่าเงินลงทุนมาจากทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ของฝ่ายหญิงเพียงคนเดียว
ภายหลังทั้งคู่จดทะเบียนสมรส และมีลูกชาย 2 คน โดยฝ่ายหญิงอาศัยอยู่กับครอบครัวของเขา ซึ่งในช่วงแรกเข้ากันได้ดี จนกระทั่งเกิดปัญหาในปี 2564 จากกรณีที่ภรรยาและน้องสาวร่วมกันขายหน้ากากอนามัย และเกิดปัญหาคุณภาพสินค้าจนทะเลาะกัน
ต่อมาในปี 2565 น้องสาวของเขาเริ่มศึกษาธุรกิจเนื้อวัวและเปิดร้านอาหาร ทำให้ฝ่ายหญิงไม่พอใจ เข้าใจว่าน้องสาวมาเปิดร้านแข่ง ทั้งที่ร้านมีรูปแบบต่างกัน และเรื่องนี้ยิ่งตอกย้ำความไม่ลงรอยกับครอบครัวของเขา
เหตุการณ์ที่ทำให้คุณมาร์คตัดสินใจจบความสัมพันธ์ คือวันที่ภรรยาทำร้ายร่างกายพ่อของเขา ซึ่งแม้พ่อจะให้อภัยหากภรรยายอมขอโทษ แต่ฝ่ายหญิงกลับปฏิเสธ พร้อมต่อว่าครอบครัวเขาอย่างรุนแรง ตั้งแต่นั้นมาทั้งคู่แยกห้องนอนกัน และภรรยาพาลูกหนีไปพัทยาโดยไม่บอกกล่าว
คุณมาร์คมองว่าปัญหาส่วนหนึ่งมาจากอารมณ์ของภรรยาที่ไม่สามารถควบคุมได้ พร้อมยืนยันว่าทั้งคู่มีการทำร้ายร่างกายกันจริง แต่ไม่มีใครบีบบังคับฝ่ายหญิงออกจากธุรกิจได้ โดยระบุว่าภรรยาเคยถอนเงินจากบัญชีบริษัทหลายครั้ง และล่าสุดมีการโอนเงินและหุ้นของบริษัทโดยที่เขาไม่ยินยอม
สิ่งที่หนักคือ เรื่องการนอกใจแล้วเอาโรคมาติดคนในบ้าน โดยคุณมาร์คยืนยันว่า ตลอดเวลาที่ยังดีกัน ไม่เคยไปมีอะไรกับใคร โอเคว่าอาจจะเคยไปนวดบ้าง แต่การนวดมันไม่ใช่การมีเพศสัมพันธ์กับใคร แต่มีการออกไป “ซื้อกิน” บ้าง คือหลังจากที่ทะเลาะแตกหักกับโบว์ จนเลิกรากันไปแล้วช่วงเดือนมีนาคม พอช่วงเมษายน ตนก็เลยออกไปซื้อกิน ซึ่งหลังจากนั้น ก็ไม่ได้กลับมามีเพศสัมพันธ์กันอีกเลย จะกล่าวหาว่าตนเอาโรคไปติดโบว์ได้ไง
แล้วเชื้อที่โบว์ติดก็คือเชื้อ HPV (ไวรัส Human Papillomavirus) บางสายพันธุ์สามารถก่อให้เกิดโรคหูดตามผิวหนัง และบางสายพันธุ์สามารถก่อให้เกิดมะเร็งในอวัยวะต่างๆ เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องปากและลำคอ ซึ่งมาร์คตอบโต้ว่า ไวรัส HPV ไม่ได้ติดจากเพศสัมพันธ์อย่างเดียว มันอาจจะติดจากทางอื่นก็ได้ เพราะในตอนที่ยังใช้ชีวิตเป็นผัวเมียกันอยู่ ตนไม่ได้มีสัมพันธ์กับคนอื่นเลย
แต่โบว์ก็ยืนยันว่า ตอนที่ไปตรวจพบเชื้อ แพทย์แจ้งกับตนว่า เชื้อนี้ติดต่อจากทางอื่นได้จริง แต่มันมีโอกาสน้อยมากๆ ปกติก็ติดจากเพศสัมพันธ์ ซึ่งโบว์เชื่อว่า มันน่าจะติดมาจากช่วงก่อนหน้าที่จะแตกกัน เพราะมาร์คมีพฤติกรรมนอกใจมานานแล้ว
เมื่อถามว่า แล้วหลังจากวันนี้จะทำยังไงกันต่อ จะกลับมาคืนดีกัน หรือจะเลิกรากันไปเลย โบว์ตอบว่า โบว์ต้องการ “หนีเค้า โบว์ยอมรับว่า โบว์ยังรัก แต่ไม่อยากมีคนนี้อยู่ในชีวิตอีกแล้ว”
ส่วนทางมาร์ค ยืนยันว่า ไม่เอาแล้ว ไม่ต้องการจะกลับไปใช้ชีวิตกับโบว์อีก แต่สิ่งที่โบว์ทำหลังจากมีเรื่องกันคือ โบว์ยักยอกหุ้นของบริษัทไปเป็นชื่อตัวเอง เรื่องนี้ตนจะเดินหน้าฟ้องร้องฐานยักยอก ส่วนเรื่องสิทธิ์ในการเลี้ยงดู ก็ต้องมาแบ่งสิทธิ์กันให้เป็นธรรม
แต่ประเด็นที่ทะเลาะกันไม่จบ ก็คือ การที่โบว์พยายามจะขอความเป็นธรรมให้ตัวเอง เพราะที่มาร์คกล่าวหาว่า โบว์บุกเข้าไปที่บ้านของมาร์ค แล้วไปทำร้ายพ่อของเขา อยากให้คนที่ได้ดูเข้าใจหน่อยว่า เราทำเพราะเราเคยถูกพ่อของมาร์คทำร้าย และสาเหตุที่ทำร้ายก็เพราะเราเห็นว่า พ่อมาร์คทำร้ายย่าของมาร์ค ซึ่งแม่แท้ๆ ของเขาเอง เรามีคลิปเสียงที่คุยกับอาม่า ที่อาม่าบอกเองว่าลูกตัวเองเป็นบ้ามาตีแม่
แต่พอโฟนอิน โทรหาอาม่าสดๆ ในรายการ อาม่าบอกว่า ขอไม่ยุ่งกับสะใภ้คนนี้แล้ว เพราะเวลาทะเลาะกันเขาก็เอาหลานหนีไปตลอด อาม่ายอมรับว่าทะเลาะกับลูกชาย(พ่อมาร์ค) บ้างก็จริง แต่มันไม่เคยรุนแรงถึงขึ้นทำร้ายร่างกายกันเลย
สุดท้ายโบว์ขอโฟนอินหาพยานชื่อ “เฮียหรั่ง” ซึ่งเป็นคนที่รู้จักโบว์และมาร์คมานาน โฟนอินเข้ามาช่วยพูดในฐานะคนกลางว่า เท่าที่ตนได้รับฟัง ได้เห็นเรื่องราวของทั้งสองคนนี้มาตลอด แล้วมานั่งฟังรายการ ทำให้เฮียหรั่งรู้สกว่า มาร์คเองก็ทำเกินไปกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว โบว์กลายเป็นคนบ้าในสายตาคนทั้งประเทศ ทั้งที่จริงๆ มาร์คเองก็ต้องยอมรับว่า โบว์รู้สึกไม่ดีกับครอบครัวของมาร์ค ก็เพราะตัวมาร์คเองหรือเปล่า แต่มาร์คไม่พูด ทำให้โบว์กลายเป็นคนผิดในสายตาคนอื่นฝ่ายเดียว
เมื่อฟังเฮียหรั่งพูด ทำให้คนดูหลายคนพากันถึงบางอ้อ และพอจะเห็นภาพเค้าลางของเรื่องทั้งหมดได้ชัดเจนขึ้น หลายคนบอกว่า “ทำไมเฮียหรั่งไม่โฟนอินมาตั้งแต่ต้นรายการ จะได้ไม่ต้องลากมายาวถึงบ่ายสามโมงขนาดนี้”
สุดท้ายในรายการก็ยังไม่ได้ข้อสรุป เพราะมาร์คยืนกรานว่า ขอแค่สิทธิ์ในการเลี้ยงดูให้เป็นธรรม โดยโบว์ต้องเอาลูกกลับมาอยู่ กทม. ขณะที่โบว์ก็บอกว่า มาร์คไล่โบว์ออกจากบ้านแล้ว แล้วจะให้โบว์กลับมาอยู่ที่ไหนได้อีก มาร์คก็ยังบอกว่า มาร์คจะยกกรรมสิทธิ์บ้านให้โบว์ไปผ่อนต่อเองเลย เพราะตนไม่ได้อยากได้บ้านหลังนี้ แต่ก็อาจจะทำตามที่ว่าไม่ได้ เพราะตอนยื่นกู้ เป็นชื่อของมาร์ค จะมาเปลี่ยนกลางทางไม่ได้
สุดท้ายก็ยังไม่มีข้อสรุปในเรื่องนี้ แต่รายการล่วงเลยมาถึงช่วงเวลาที่ต้องจบแล้ว ทำให้ต้องขอให้ทั้งสองฝ่ายมาคุยกันดีๆ เพราะนอกจากลูก 2 คน ยังมีลูกคนที่สามในท้องของโบว์ ที่กำลังจะเกิดมาอีกคนด้วย